Friday, March 13, 2009

อย่าฟูมฟาย

ก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่เราเชื่อ และพยายามตรึกตรองว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ได้ทำร้ายใคร

อย่าท้อแท้ต่อโชคชะตา ทุ่มเท่ทุกอย่างที่มีแล้วต่อสู้ในสิ่งที่กำลังจะก่อเกิด

สิ่งที่เราเชื่อว่ามันมีค่าพอที่จะทำให้ทุกสิ่งที่เราทุ่มเทไม่เสียเปล่า


ไม่คร่ำครวญไม่ว่าทางลำบากแค่ไหน ไม่ท้อแท้แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เราถนัด

เพียงทำงานของเราต่อไป ...อย่าให้ทุกสิ่งที่ใครหลายคนผิดหวัง



โดยเฉพาะคนที่เราไม่อยากให้เขาผิดหวัง

Tuesday, February 24, 2009

"""""

สุดท้ายคนเราต้องอยู่ตัวคนเดียว

Sunday, February 22, 2009

อุ่นใจ

แม้ในตอนนี้ฉันจะปั่นป่วนขนาดไหนจากสถานการณ์ที่ได้เจออยู่ แต่ดูเหมือนเธอก็เข้าใจตลอดในสิ่งที่ฉันเป็น เธอไม่เคยต่อว่าในสิ่งที่ฉันทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ตรงกันข้าม เธอยังปลอบและหาทางช่วยเหลือฉันอย่างสุดกำลังไม่ว่าฉันจะเป็นคนโงเง่าขนาดไหน เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่เดียวดายบนโลก เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าชีวิตของฉันที่ไร้ซึ่งค่ากลับมีค่ามากมายมหาศาล เธอทำให้ฉันค่อยคิดค่อยหาทางลุกขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ล้มลงไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอทำให้ฉันไม่สามารถหยามตัวเองได้อย่างถนัดถนี่ เธอทำให้ฉันรู้ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ฉันยังเป็นคนดีของเธอเสมอ...แม้ในคราที่ไม่มีใครเห็นแบบที่เธอเห็นก็ตามที

ความผิดพลาด

ผมไม่สามารถรู้ไดเลยว่าทำไมสิ่งที่ผมทำผิดพลาดมันถึงมีค่ามากมายมหาศาล ทำไมมันถึงส่งผลร้ายแบบเป็นรูปธรรมให้ผมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทำไม และทำไม ทำไมการผิดพลาดของผมจึงเกิดขึ้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมมันถึงมาในรูปแบบที่แปรเปลี่ยนหน้าไม่ซ้ำแบบ เหมือนมันคอยจ้องเล่นงานผมอยู่ในทุกขณะหรือทุกนาทีที่มีโอกาส ทำไมมันไม่ปล่อยให้สิ่งต่างๆที่ผมพลั้งไปบ้างกลายเป็นสิ่งที่ไม่เกินความธรรมดาที่จะสามารถรับได้ เรื่องง่ายๆอย่างที่ผมทำพลาดทำไมถึงกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มหาศาลเสมอ


มันทำให้ผมเจ็บปวด


ไม่มีใครเข้าใจในเรื่องการผิดพลาดเท่ากับที่ตัวเราเข้าใจ เพราะในบางครั้งเราก็ไม่อยากให้อภัยในสิ่งที่ตัวเราทำพลาดไปทั้งแบบงี่เง่าและพลั้งเผลอได้ ข้อสำนึกที่ผมจดจำมันได้อย่างขึ้นใจ


ความผิดพลาดแท้จริงแล้วอาจจไม่เคยหายไปไหนเลย เพียงมันจะออกมาก็ต่อเมื่อเราไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เรากระทำ แม้เพียงเรื่องเล็กๆที่เราทำผิดมันก็สามารถขยายความให้เรามองเห็นภาพอย่างชัดเจนได้ นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ตลอดเวลาในชีวิตของผม

เรื่องที่เราสำนึกและยอมรับตลอด แต่ดูเหมือนมันจะสั่งสอนเราอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Tuesday, February 10, 2009

สูญสิ้นในตัวเอง

เมื่อใดก็ตามที่คุณสูญสิ้นในตัวเองเมื่อนั้นคุณจะรู้สึกทุกอย่างมันล่องลอย เวิ้งว้าง โลกที่คุณเคยรู้จักคล้ายทำให้คูณเหมือนคนแปลกหน้า คุณเป็นคนแปลกหน้าที่จุดๆนั้น คุณจะรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจคุณเหมือนอย่างที่คุณอยากให้เข้าใจ แต่สุดท้ายคุณก็จะเข้าใจได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งสิ้นมันก็ควรเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่ว่าคนรักคุณ ไม่ว่าเพื่อนสนิท ไม่ว่าบิดามารดา บางครั้งทุกคนก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวสำหรับคุณ

ผมชิงชังความรู้สึกนี้แต่ผมก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง

เมื่อคราวที่ผมทนทุกข์ใจผมแยกไม่ออกว่าอะไรดีอะไรเลว ผมไม่รู้ว่าคนที่พร่ำสอนผมให้รู้จักอดทนหรือรู้สึกสู้ชีวิตเคยเป็นอย่างผมหรือไม่ เค้าเคยโดนเพื่อนสนิทแทงข้างหลังหรือเปล่า เค้าเคยโดนคนรักสวมเขาให้เค้าในคราที่เขาเดินออกจากบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นเพื่อไปหาความสุขมาให้เธอ เขารู้หรือเปล่าว่าไม่มีคืออะไร ไม่มีคือไม่มีสักบาท ไม่ใช่มีอยู่น้อยนิดแล้วบอกไม่มี...เขาเข้าใจคำว่าไม่มีหรือไม่ อดทนล่ะ..เขาเหล่านั้นรู้หรือเปล่าอดทนที่แท้จริงมันคืออะไร การรอให้เจ้านายกินข้าวอิ้มก่อนแล้วเราค่อยอิ่มงั้นหรือ เขาเคยรู้หรือเปล่าว่าความอดทนนั้นมันหนักหนาสาหัสเพียงไร พวกเขาเหล่านั้นรู้หรือเปล่าว่าเมื่อสูญสิ้นทุกอย่างเป็นอย่างไร เมื่อไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีมิตสหาย ไม่มีคนรัก ไม่มีเงิน และคุณไม่สามรถอยู่กับที่ได้ เปรียบเสมือนคนที่ถูกตามล่า ระหว่างทางคุณทำเช่นไร คุณคงคิดอยากจะกลับบ้าน และคุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคนที่เป็นคนในครอบครัวของคุณปิดประตูใส่หน้าคุณในขณะที่คุณต้องการความช่วยเหลือในขณะนั้น

กรรม..

เมื่อคุณอยู่กับการชดใช้นานจนเกินไป คุณจะรู้สึกได้ว่าจริงๆแล้วโลกเราไม่มีพระเจ้าหรอก ไม่มีอะไรใดใดทั้งนั้น หลายคนที่คุณมองเห็นเค้ายังอยู่ดีทั้งที่คุณก็รู้ว่าเขาไม่ได้ทำดี เมื่อถึงจุดนั้นคุณก็จะรู้ว่ากรรมมันเป็นข้ออ้างเพื่อปลอบใจในเวลาที่คุณท้อแท้หรือเวลาที่ใครบางคนพลั้งพลาด มันเป็นแค่ข้อสมอ้างที่สมมติขึ้นทั้งนั้น

ความสูญสิ้นทำให้คุณครวญคิด...คุณจะต่อสู้กับมันหรือคุณจะยอมแพ้

บางครั้งเมื่อเวลามาถึงคุณต้องตัดสินใจ จะอยู่หรือจะไป

ผมจะสู้ต่อผลกรรมในบาปในภายภาคหน้าที่ผมจะลงมือกระทำ หากแม้นผลตอบสนองในกรรมมีจริง ผมก็จะไม่ปริปากบ่น โดยเฉพาะคำว่าความตาย..เช่นนั้นเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมถวิลหาตั้งแต่ครั้งแรกอยู่แล้ว

........................

Sunday, February 08, 2009

ยามเศร้า..

ยามเศร้า...

เรื่องราวที่เคยตลกขบขันก็มาทำให้ร้องไห้เสีย

เสียงเพลงที่เคยราบเรียบไร้มิติ กลับมีประตูเปิดให้เราเข้าไปเดินดูภายในตัวมัน ทุกสิ่งทุกอย่างพลันออกจากความราบเรียบ ทุกอย่างคล้ายเหมือนเป็นเรื่องของเราเองแทบทุกสิ่ง

งานที่เคยทำได้ง่ายๆก็กลับทำยากแสนยาก เรื่องง่ายแค่การลุกขึ้นจากเตียงนอนบางครั้งยังแสนลำบาก

เราจะร้ซึ้งคุณค่าของพื้นที่ทุกตารางนิ้วบนห้องนอน และเราจอขอบคุณมันโดยการไม่ออกเสียง

เราจะมองเห็นความทุกข์ของคนอื่น..และมองเห็นความดีของใครรบางคน

เสาไฟ้ฟ้าหน้าปากซอยที่ติดบ้างดับบ้าง..ช่างน่าสงสารยามมันอยู่เพียงลำพัง

เรื่องผีที่บ้านร้างดูเหมือนกลายเป็นเรื่องเหลวไหลในที่สุด

ความเศร้าทำให้ปราศจากความกลัว...และนั่นฉันเห็นว่ามันเป็นเรื่องดี

เวลา

ยังไม่มีใครทราบได้ว่าช่วงเวลาที่เหลือของแต่ละคนนั้นจะยืนยาวอีกสักเท่าไหร่ นับสิบนับร้อยปี หรือน้อยจนเกินที่จะคาดคิด เรื่องที่ไม่มีใครรู้

แต่เรื่องจริงมีอยู่ว่าเวลาทำให้เรามองเห็นบางอย่างชัดเจนกว่าเดิม เวลาที่ผ่านไปในชีวิตจะเป็นตัวกลั่นกรองให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนจากสิ่งที่เราจดจ้องมองอยู่ ซึ่งหลายต่อหลายครั้งเราจะรู้ได้ว่า...บางครั้งเราก็มองบางอย่างผิดพลาดไป มันอาจไม่ใช่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรามองเห็น เพียงแต่เราอยากจะเห็นมันในทางที่เราอยากจะเห็น

การมองเห็นทำให้เราเข้าใจถึงความจริงที่เป็นอยู่รอบข้าง และโดยใจความหลักนั้นมันก็คล้ายๆกัน เรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจหากแม้นเราอยากจะยังอยู่บนโลก หรือกระทั่งไม่อยากอยู่...ไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์ที่สุดแม้แต่ตัวเราเอง เราเองเพียงต้องทำความเข้าใจ และยืนอยู่คู่ไปกับมัน


เรื่องของเรื่องคือ...การอยู่ยาวนานไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรสำหรับฉัน

ครอบครัว คนรักเก่า เพื่อน ไม่มีแม้ใครที่ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าโลกนี้น่าอยู่ ตรงกันข้ามโลกใบนี้กลับน่าเบื่ออย่างที่สุด

ฉันเดินอยู่บนเส้นทางของเวลา ทำทุกอย่างเฉกเช่นเดิมเหมือนที่เคยทำ ดั่งเช่นการเคลื่อนที่ของรอบหน้าปัดนาฬิกา...เรื่องเดิมๆที่ฉันเผชิญอยู่ทุกวี่วัน


นานพอที่ทำให้ฉันรู้ว่า...ความรักมันก็มีค่าจริงนั่นแหละ เพียงแค่น้อยคนนัก ที่จะคู่ควรกับมัน

..................

ความน่ารังเกียจ

เมื่อเวลาเดินมาถึงจุดนี้ทำเอาผมเศร้าใจ


เรื่องหลายเรื่องที่ผู้คนได้พบเจอผมช่างเป็นเรื่องเศร้าใจ

ผมสร้างเกราะให้กับตัวเองโดยการเป็นบุคคลที่พึงน่ารังเกียจ พวกเขาจะได้รับสิ่งนั้นไปจากผม...เขาจะได้รับสิ่งนั้น ความน่ารังเกียจที่ผมยัดเยียดให้กับพวกเขา ความรู้สึกที่พวกเขาจะมีต่อผม เช่นนั้นเพราะผมไม่ควรที่จะมีใครมาอยู่เคียง มันคงเป็นความลำบากชนิดหนึ่งที่ผมจะยัดเยียดให้คนเหล่านั้นหากแม้นเขานับผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง...เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงได้เห็นเรื่องน่ารังเกียจของผมที่มีต่อพวกเขามากมายเหลือเกิน

ความรัก...หากคุณเคยมีรักคุณคงรู้ว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน เช่นเดียวกับในครั้งที่คุณได้สูญเสียมันไป

เรื่องที่ผมไม่ปรารถนาได้รับพรข้อนั้นจากคนอื่น..เพราะผมรู้ดีว่าผมไม่ได้มีค่าพอที่จะสามารถรับสิ่งมีค่านั้นเอาไว้ได้


วันนี้ทุกอย่างเงียบเหงาเหมือนที่เคยเงียบเหงา

ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มีใครรัก


ตรงกับครั้งหนึ่งที่เพื่อนในอดีตคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "สักวันมึงจะต้องอยู่คนเดียว"

.................

Thursday, February 05, 2009

น้ำตาของเธอ

นอนซมเพราะพิษไข้หลังจากปากดีได้ไม่นานว่า..น้อยครั้งที่จะป่วยจนต้องพึ่งมือหมอ อาการป่วยเข้าท่ากว่าที่คิด เช่นนั้นเพราะเวลาเราป่วยความซึมเศร้าคล้ายแห้งเหือดไปจากตัวจนหมดสิ้น ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเหมือนภาพที่เดินไปอย่างช้าๆ แม้นไม่มีเสียงประกอบของภาพที่เคลื่อนไหว แต่ก็รู้สึกได้ว่า..ความชัดเจนบางอย่างในภาพสื่อความรู้สึก และความหมายของมันได้หมดสิ้น


เธอโทรมาพร้อมเรื่องเดิมๆ..เรื่องที่น่าจะจบไปแล้วตั้งแต่หลายเดือนก่อน เรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน


เดินออกไปกลางดึก ด้วยถ้อยคำเพียงบางคำ...คำที่เคยสัญญาด้วยกันว่า เราจะไม่ทิ้งกันไปไม่ว่าใครคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร


นั่งมองเธอปาดน้ำตาเล่าเรื่องของเธอแบบช้าๆ เรื่องราวที่เป็นความเจ็บปวดของเธอ นั่งมองเธอเพ้อถึงคนที่เธอรัก พยายามช่วยคิดวิธีที่ทำให้เธอพ้นความเศร้าโศก อาจเป็นเพราะว่า...ฉันเป็นคนแพ้น้ำตา


บุหรี่ตัวแล้วตัวเล่าล่องลอยอยู่ในห้องๆหนึ่ง ความเงียบปรากฏตัวชัดเจนจนรู้สึกได้ ความวังเวง ความเศร้า มันล่องลอยวนเวียนลอยอยู่ในนั้น แสงไฟสีเหลืองอ่อนแบบที่เคยชอบฉุดบรรยากาศให้จมลึก ในวินาทีหนึ่งจึงกลั้นไปบอกเธอไปว่า...ฉันขอเบอร์โทรศัพท์คนรักของเธอ



กลางดึก...

ฉันเดินอยู่เดี่ยวข้างถนน แสงไฟในยามดึกที่ฉันชื่นชอบพาดตัวของฉันเป็นเงาออกเป็นทางยาว ฉันยังคงสูบบุหรี่

ฉันคิดถึงภาพบางภาพและคำบางคำที่ชัดขึ้น ฉันชอบเวลาที่เห็นเธอจริงจังเมื่อเธอกล่าวถึงคนรักของเธอ ฉันชอบเพราะฉันเห็นเธอมีรัก เพราะฉันเคยมีรัก เรื่องที่ฉันคิดว่ามันสำคัญหากแม้นเธอได้เกิดขึ้นเป็นมนุษย์ ไม่สำคัญว่ามันจะดีหรือไม่ดีตามใจปรารถนา เช่นนั้นเพราะว่า หากเธอได้รักใครสักคน...เธอจะรู้ว่าการที่เรามองเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง นับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ได้ประการหนึ่ง


ครั้งหนึ่งฉันเคยเดินบนถนนเส้นนี้ ผ่านร้านเก่าๆที่ฉันเคยนั่ง ในคืนเงียบดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนที่มีความหลังไปกับที่ทุกหนทุกแห่ง ฉันนึกถึงเรื่องราวที่ย้อนกลับในอดีต เรื่องที่ไม่เคยเข้าใจก็กลับเป็นเข้าใจในช่วงเวลาเปล่าดาย ช่วงเวลาที่ฉันซมด้วยพิษไข้


เราจะไม่ทิ้งกัน...


ไม่สำคัญว่าเธอจะจดจำมันได้หรือไม่ ไม่สำคัญว่าเธอจะต้องการมันอีกหรือเปล่าในภายภาคหน้า ค่ำคืนที่แสนเงียบเหงา คืนที่ทำให้ฉันได้ระลึกถึงค่าของคำที่ฉันเอ่ยไว้ และพยายามรักษามันจนสุดกำลังเท่าที่ฉันมี
เพียงอยากให้เธอจดจำรายละเอียดเพิ่มในคำสัญญา ไม่สำคัญว่าฉันจะอยู่ที่ไหนในยามเธอเศร้าใจ...ขอเพียงแค่เธอบอก ฉันจะไปหาเธอ

...................

Monday, February 02, 2009

ยืนต้น

ต้นไม้ต้นหนึ่งออกดอกบานสวยงามอยู่หน้าบ้าน

กลิ่นของมันเสริมความงามของมันให้งามขึ้นไร้สิ้นสงสัย

มวลแมลงบินล้อมรอบชวนใจเคลิบเคลิ้ม

เพลงรักเคยแอบซ่อนบัดนี้ก่อเกิดขึ้นในอากาศ

2

เวลาผ่านก้าวสู่ฤดูแห้งหฤโหด

กาลพรากความงามจากต้นไม้ลาจากลับความงาม

ต้นยืนอยู่เดี่ยวท่ามกลางเงาเดิมที่เคยสวยสด

ภาพครั้งวันวานคล้ายบอกอดีตเป็นเพียงมายา

2

ในฐานะคนบ้านอยู่ริมรั้ว

มองเห็นถ้วนทั่วในต้นไม้ใหญ่

ฉันเป็นเพียงมนุษย์ไร้รากคนหนึ่ง

จึงรู้ดีว่าหากแม้นมันคงทนอยู่สู่วสันต์ ความงามจะหวนคืน

2

เปรียบได้ดั่งชีวิตคนคนหนึ่ง

เรื่องดีเรื่องร้ายมักจรมักจาก

ร้ายดี-ดีร้าย หากแม้นใจยังสู้

ยังยืนยันอยากอยู่วันหนึ่งทุกข์จักษ์ผ่านพ้น

Thursday, January 29, 2009

รักที่สมบูรณ์...

โทรศัพท์มาในตอนเช้าปลุกผมให้ตื่นจากฝันของช่วงปลายฤดูหนาว เรื่องหลังจากนั้นทำผมให้ตื่นตัวมีสติ เพื่อนสาวครุ่นคิดถึงเรื่องที่แฟนหนุ่มเริ่มมีอาการเหินห่าง เรื่องที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตของเธอ แม้ว่าเธอจะผ่านหูผ่านตาเรื่องพวกนี้ไม่เว้นในแต่ละวัน(ทั้งจากละครโทรทัศน์ เนื้อเพลงมากมายหลายที่วนเวียนอยู่ในเรื่องแบบนี้ หรือแม้กระทั่งภาพในชีวิตจริง) เธอบอกแฟนเธอกำลังมีคนใหม่ สาวกว่า สวยกว่า น่าสนใจดูดีกว่าที่เธอเป็นมากมาย(เรื่องนี้ผมเห็นพ้องด้วย) วิญญาณคนช่างสังเกตเริ่มเข้าสิงเธออย่างเป็นรูปธรรม เธอวิเคราะห์พฤติกรรมต่างๆที่เปลี่ยนไปของสามีให้ผมฟังเป็นฉากๆ ระหว่างเล่าอาจเป็นจุดการทบทวนเรื่องซ้ำของเธออีกระลอกหนึ่ง เล่าไปหัวเราะไปซึมไป คละเคล้าอารมณ์ของเธอในแต่ละช่วง เรื่องราวที่เธอเล่าดำเนินไปถึงสิ่งที่เธอวิเคราะห์ไว้ท้ายสุด...บางทีเขาอาจจะ เบื่อ คำที่ทำความเข้าใจได้ยากเต็มที...เพราะสำหรับผมนั้น รักไม่ใช่ แฟชั่น มีมามีไปตามช่วงเวลา

ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นเรื่องยากต่อการชี้ชัด และมีบทพิสูจน์ที่ยากต่อการค้นหา เราจะรู้ได้อย่างไรคนที่เรามองสบสายตากันทุกวันจะไม่ทิ้งเราไปในยามเราลำบาก อับจน หรือแก่เฒ่า หรือจะผิดสัญญาเท่ๆที่เขาหรือเธอเคยรับคำไว้ในช่วงอากาศดีหรือบรรยากาศเป็นใจ

ในสมัยที่ผู้คนซื้อของมักดูจากการบรรจุหีบห่อหรือการออกแบบที่ถูกใจตน เหมือนเช่นการซื้อของในห้างสรรพสินค้าที่มองแต่รูปลักษณ์คำกล่าวเชื่อในโฆษณา เมื่อผู้คนเป็นเช่นนั้นจึงหลงลืมสิ่งสำคัญลำดับแรกๆของความสำคัญของการเลือกซื้อของสักชิ้นหนึ่ง คุณสมบัติของสินค้า วัสดุส่วนผสม ความเหมาะสมของราคา ซึ่งอย่างหลังสุดผมเห็นว่ามันมีราคาที่เรามักต้องจ่ายมากกว่าตอนที่เราไปซื้อมาหลายเท่านัก

ห่างไกลไปในชนบทหากได้สัมผัสจะรู้ว่าหลายคู่อยู่กินกันถึงแก่เฒ่า อาจเป็นเพราะผู้คนเหล่านั้นมีเรื่องราวมากมายที่ต้องทำเพื่อการดำเนินชีวิตจนไม่มีเวลาไปมองหาสิ่งที่ดีกว่า หรืออาจเป็นเพราะว่าในท้องทุ่งมีแต่ผักปลา วัว ม้า ควาย ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้อภิรมย์มากกว่าคู่ครองของตัวเองสักเท่าไหร่ สิ่งรอบข้างในการดำเนินชีวิตอาจเป็นได้ว่าเป็นตัวช่วยเสริมส่งการอยู่เป็นคู่ครองในการดำเนินชีวิต ดั่งเช่นสถิติการอย่าร้างของผู้คนในเมืองหลวงย่อมมากกว่าผู้คนที่อยู่ในชนบทเป็นสิบเท่าเป็นตัวชี้วัด การแต่งตัวให้สวยสมกับสถาปัตยกรรมใหม่ๆที่เข้ามาในเมืองหลวง การแต่งหน้า การทำตัวให้ดูดี สิ่งที่มาพร้อมความศิวิไลซ์ จิตวิทยาหมู่(ของการออกแบบของสังคม)ที่ดูเหมือนว่าจะทำให้คนสนใจที่เปลือกมากกว่าคุณค่าของมัน เช่นนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าบางครั้งความงดงามก็เป็นตัวการใหญ่ของการทำลายในเรื่องบางเรื่อง สัจธรรมที่ธรรมชาติออกแบบไว้อย่างดิบดี...ไม่มีสิ่งใดดีเลิศในทุกด้าน

คงจะเป็นเรื่องผิดปรกติที่ใครจะไม่ชอบความสวยความงาม ผู้คนมักชอบใครสักคนโดยการมองจากสัมผัสแรกทางสายตา และดูเหมือนว่าถ้าใครหน้าตาก็จะได้รับอภิสิทธิ์ในการสนทนา(ควบคู่ไปกับการควบคุมน้ำเสียงหรือสายตา และอาจรวมไปถึงความสุภาพมากกว่าช่วงเวลาปรกติ)มากกว่าบุคคลอื่น เช่นนั้นเรื่องที่เราทุกคนไม่สามารถเลือกได้จึงกลับมาเป็นเงื่อนไขแปลกๆที่มนุษย์ตั้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เช่นนั้นเพราะผู้คนมักมองคนที่รูปลักษณ์มากกว่าเนื้อหาภายในที่ควรค่าต่อการคบหาจริงๆ น้อยคนนักที่จะค่อยศึกษานิสัย ความรู้สึก ความคิดของเนื้อคู่ก่อนที่จะตัดสินใจชอบ เราให้โอกาสสาวอ้วนดำเหม็นเท่าไหร่ในการคบหา เราให้โอกาสคนพิการเท่าไหร่ในการคบหา เราให้โอกาสชนชั้นแรงงานเท่าไหร่ในการคบหา ผู้คนมักไม่ไตร่ตรองเรื่องนี้ให้รอบคอบก่อนที่จะทำการตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญ เป็นไปได้ว่าผู้คนติดอารมณ์มากกว่าเหตุผลที่ต้องใช้ในชีวิตจริง อาจเป็นเพราะคนใช้สัญชาตญาณความเป็นสัตว์มากกว่าที่จะใช้สติปัญญาที่ธรรมชาติมอบให้ การสืบพันธ์โดยไม่คำนึงถึงข้อแม้โดยไม่ไตร่ตรองโดยใช้สมองที่มีอยู่แบบตั้งใจใช้ เรื่องที่แน่นอนต่อการพิสูจน์หากต้องทำการพิสูจน์...มีกี่คนบนโลกที่เลิกกับเมียแล้ว ไปได้แฟนที่แก่กว่า และ ขี้เหร่กว่า(และถึงขี้เหร่กว่าจริงก็ต้องจนกว่า) แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งสิ้นหากแม้นเราพยายามศึกษาคนที่เราหมายปองโดยใช้เวลามองดูสิ่งที่อยู่ในใจของคนๆนั้น อาจไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่ต้องอยู่ยืนยาวจวบจนตายหายจาก เพียงแต่นั่นอาจช่วยในการลดความเสี่ยงต่อการผิดหวังในขันตอนหนึ่งเท่านั้น เป็นการรักโดยใช้สติปัญญาใคร่ครวญต่อการคิดแล้ว อย่างน้อยมันก็ได้ผ่านขั้นตอนความคิดมิใช่แบบใจเร็วด่วนได้ แต่แม้ถึงเป็นเช่นนั้นแล้วเรายังผิดหวัง เห็นทีก็ต้องเข้าสู่การรักที่ไม่มีวันผิดหวังอย่างสมบูรณ์แบบ...รักตัวเอง

................................

Wednesday, January 28, 2009

คุณค่า

ผมคิดอยู่เสมอว่าค่าของทุกอย่างบนโลกไม่เท่ากัน เงินหนึ่งร้อยบาทของคุณกับเงินหนึ่งร้อยบาทของคนอื่นมีค่าไม่เท่ากัน หนึ่งร้อยบาทสำหรับคนๆหนึ่งอาจเป็นแค่เพียงใช้เป็นทิปกับคนรับรถ แต่หนึ่งร้อยบาทของคนอื่นอาจเท่ากับข้าวสามมื้อหรืออะไรที่มากกว่านั้น ใครหลายคนอาจบอกว่าในทางคณิตศาสตร์นั้นเป็นเรื่องจริงถ่องแท้ แต่ในนั้นก็ยังมีความขัดแย้งซึ่งกันและกันอยู่เช่นกัน ดั่งตัวอย่างในการหาค่าสัมประสิทธิเชิงเปรียบเทียบในบทหนึ่งของสถิติ(เช่นในประเทศเอ นายก.มีรายได้วันละ10005บาท ส่วนนายข.มีรายได้วันละ10000บาท ส่วนต่างความต่างคือห้าบาท ส่วนในประเทศบี นายค.มีรายได้วันละ15บาท และนายง.มีรายได้20บาท ส่วนต่างก็ต่างกันเพียงห้าบาท ดั่งกล่าวจะเห็นได้ว่าทั้งสองประเทศมีพิสัยของรายได้ต่อวันต่างกันห้าบาทเท่ากัน แต่ความต่างของประเทศบีนั้นแสดงความต่างมากกว่าประเทศเอเยอะนัก..เช่นนั้นจึงต้องการมีการหาสปส.ของพิสัยมาช่วยแยกแยะข้อมูลพื้นฐานอีกขั้นหนึ่ง) ไม่ใช่เพียงแค่เงิน ต้นไม้ต้นหนึ่งสำหรับนกตัวหนึ่ง กับสำหรับคนๆหนึ่งนั่นก็อาจหมายความได้ว่ามันแสดงชัดถึงความสำคัญของแต่ละคนไม่เท่ากัน ความรู้สึกของวัตถุหรือสิ่งที่อยู่บนโลกนั่นอาจเป็นเรื่องยากของการวัดค่าที่แท้จริงที่เป็นมาตรฐาน

*

*

เวลา...ตัววัดดรรชนีหนึ่งในทางคณิตศาสตร์ที่ผู้คนชอบเอามาเปรียบเทียบ ดั่งคำบางคำที่หลายคนอาจเคยได้ยินผ่านหูผ่านตามาบ้างแล้ว คำเชยๆที่ว่า เวลาของทุกคนบนโลกเท่ากัน(ซึ่งแท้จริงแล้วมีบุรุษนามหนึ่งที่กล่าวอะไรแล้วเราต้องฟังเคยพิสูจน์มาแล้ว เวลาในชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน(เรื่องนี้พิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ได้จากความสูงในแต่ในระดับที่เราได้อยู่) คนที่กล่าวคือ ไอสไตน์)...แต่เราใช้มันในการดำเนินชีวิตต่างกัน แท้จริงแล้วมันไกลไปกว่านั้น ผมคิดเอาเองว่าจุดมุ่งหมายของการมีชีวิตอยู่ของคนนั้นต่างหากที่เป็นเครื่องกำหนดชี้ชัดคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ คนบางคนอาจชอบอยู่แบบเรื่อยเปื่อย สองชั่วโมงในการฟังเพลง สามชั่วโมงในการนอนหลับกลางวัน และหนึ่งชั่วโมงสำหรับการอ่านหนังสือพิมพ์หรือนั่งพริ้มกลางทุ่งนา แต่คนบางคนกลับเอาเวลาที่ว่าไปทำอย่างอื่น คร่ำเคร่งกับงานเอกสาร ฟาดฟันสารพัดวางแผนการเติบโตในหน้าที่ในงาน หรืออาจกล่าวรวบได้ชัดคือใช้เวลาที่มีไปแลกกับตัวเลขบนบัญชีในธนาคาร เช่นนั้นเพราะว่าจุดมุ่งหมายของคนเราต่างกัน หากแม้นเราเอาตัวเลขของเงินออมที่อยู่เป็นที่ตั้งดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตแบบแรกดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งสาระ แต่เช่นกันหากแม้นเราเอาชีวิตแบบแรกเป็นตัวชี้ชัด..เช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตแบบที่สองเป็นเรื่องที่จริงจังเกินกว่าจะถือเป็นเรื่องมากเกินจำเป็น

*

*

แต่อย่างไรก็ตาม..เราคงมีชีวิตหากยังไม่สิ้นลมหายใจ

*

*

บางคนอาจลืมไปว่าเรายังมีชีวิตอยู่ได้หากแม้นเรามีรายได้น้อย มีไม่มากที่ผู้คนบนโลกอดตายเพราะไม่มีจะกิน เพราะโลกไม่ได้ออกแบบมาว่าให้คนที่ไม่นิยมเงินทองต้องตายหากไม่กระสือกกระสน บางทีความสบายนั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเดินออกนนอกเส้นทางที่ควรจะเป็น ความสบายทำให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ในสายตาเบี่ยงเบนไป จากสิ่งหนึ่งกลายเป็นอื่น เช่นนั้นเพราะในสังคมยุคนี้มักเอาความสบายของคนอื่นมาเป็นมาตรวัดในการประสบผลสำเร็จในชีวิต เช่นนั้นคนเราจึงแสวงหาความสบายอย่างที่เราคาดฝัน นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่าไม่สิ้นสุด...เพราะสิ่งนั้นอาจเป็นสิ่งที่อยู่ในคำจำกัดความของคำว่ากิเลสได้ เมื่อใครก็ตามมีกิเลส เมื่อนั้นคำว่าพอก็จะไม่ปรากฏในของชีวิตของคนผู้นั้น

*

*

การตั้งเป้าหมายต่ำในการมีชีวิตไม่ใช่ดีแค่ทำให้เราผิดหวังน้อยเมื่อยามพลาด หรืออาจสมหวังง่ายต่อการคาดหวัง สิ่งที่ดีที่สุดของมันอาจเป็นเพียงการที่เราเข้าใกล้ถึงคำว่าพอใจ...คำที่อาจเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขไปสู่ประตูของความสุขในใจคน

*

*

.....................................

เรื่องส่วนตัว...

ตายแบบขาดอากาศ

ถ้าหากผูกคอตายอาจสิ้นสุดทุกอย่างภายในวินาทีเดียว แต่เราไม่แน่ใจได้ว่ากระดูคอเราจะไม่หลุด บางทีอาจกินเวลาการทรมานเท่ากับการที่ตัดสินใจโดดน้ำตาย

ตายแบบเสียเลือด

ถ้าหากกรีดข้อมือตายต้องเจ็บในทีแรกจากนั้นรอจนเลือดไหลจนหมดตัว บาดแผลต้องลึกมากๆ น่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่น่าจะตายแบบเบลอ เพราะการเสียเลือดมากน่าจะทำให้เบลอและเวียนหัว

การปาดคอตัวเองน่าจะสั้นมาก แต่น่าจะเจ็บด้วยทรมานด้วย น่าหลีกเลี่ยง เพราะระยะเวลาก็น่าจะเท่ากับการขาดอากาศตาย แต่น่าจะทรมานมากกว่า ตายแบบนี้ฮาร์ดคอร์ ไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก

การตัดเส้นเลือดใหญ่ เคยอ่านหนังสือมันบอกว่าเลือดจะหมดตัวภายในสองถึงสามนาที นั่นก็นานอยู่ดี แต่สำคัญคือไม่รู้ว่าเส้นเลือดใหญ่มันอยู่ตรงไหน

กินยาตาย

กินยาตายน่าจะทรมานที่สุด เพราะมันมีเวลาที่จะเปลี่ยนใจได้ เกิดรอดมาแล้วพิการทุกข์กว่าเดิมอีก การกินยาจึงควรหลีกเลี่ยง

กินยาฆ่าแมลง อันนี้เคยทำแต่กินน้อยไป ครั้งที่สองรินไว้ครึ่งแก้วแต่ดันไปดมเลยอ้วกแทน น่าจะไปเร็ว แต่ดูไม่น่าเป็นทางเลือกที่ดี

ทำร้ายตัวเอง

โดดตึกตายเค้าบอกว่าส่วนมากจะหัวใจวายตายก่อนตกถึงพื้น(ในกรณีที่ตึกสูงมากๆ) น่าสนใจแต่ถ้าหัวใจไม่วายคงเจ็บหนัก และที่สำคัญคือเกิดฟื้นมาล่ะยุ่งเลย

ยิงตัวตาย...นี่ไม่น่าจะนานเคยคิดหลายครั้งว่าจะไปยิงตัวตายข้างรพ.ตำรวจตอนตีสามตีสี่ที่คนน้อยๆ พอตายแล้วจะได้ไม่เป็นภาระของคนอื่นมาก ตายแล้วก็ยกศพเข้ารพ.เลย รบกวนที่บ้านจ่ายค่าทำศพให้(หวังว่าคงจะไม่เป็นภาระมาก) แต่ช่องโหว่คือปืนหายาก ไม่มีเงินซื้อ

ตายคาอก...

ตัดไปได้เลยเรื่องนี้ไม่มีทาง




วิทยาศาตร์

จากการศึกษาแล้วอยู่ในรถแล้วจุดเตาถ่านดีที่สุด ไหลตายไปเลย อาจสำลักหรือเจ็บปวดบ้างเป็นบางที แต่ในที่สุดแล้ววิธีนี้น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนที่กลัวการทรมานอย่างเรา


............

คิดถึงบ้าน

น่าเศร้าตรงที่เรามาอยู่บ้านเขาทั้งที่เราทะเลาะกับลูกเขา เราเข้าใจดีว่าเราไม่มีที่ไป แต่เราก็น่าจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ไม่น่าที่จะหงุดหงิดกับตัวเอง

ทั้งสองออกจากบ้านไปในขณะที่เรากำลังนั่งคิดเรื่องต่างๆอยู่ เช่นนั้นเราจึงไม่ได้สังเกตว่าหลังจากนั้นมันจะเป็นอย่างไรสำหรับเรื่องภายในบ้าน เด็กหญิงปีนกำแพงออกไปในตอนนั้นเพื่อไปซื้อขนมในเวลาที่เขาทั้งสองคนไม่อยู่ เราเองก็ไม่รู้เรื่องจนไม่กี่นาทีเจ้าของบ้านทั้งสองได้กลับมาที่บ้านอีกครั้งเนื่องจากลืมโทรศัพท์

เด็กหญิงโดนต่อว่าจนตัวซีดเพราะตอนขากลับเด็กหญิงกำลังปีนรั้วบ้าน เราก็รู้เรื่องในตอนนั้น เขาทั้งสองต่อว่าเด็กหญิงเสียงดังจนเด็กหญิงตัวซีด พร้อมฝากความเครียดไว้ว่า "กลับมาก่อนเดี๋ยวจะฟาดให้"

จากนั้นไม่นานเด็กหญิงนั่งซึมอยู่กับที่ เข้าไปถามไถ่เธอจึงบอกว่าเธอกลัวโดนตี เช่นนั้นเธอจึงขอร้องให้เราช่วยโกหกในคราที่เจ้าของบ้านกลับมาหน่อยได้ไหมว่า..เราเป็นคนที่ใช้เธอไปซื้อของเอง


ตกเย็นเสียงรถของเจ้าของบ้านดังก่อนที่เสียงดุจะตามมา เราบอกไปว่าเป็นเราที่ผิดเองที่ใช้เด็กไปซื้อของ เจาขิงบ้านบอกทันใดว่าลำบากอยู่แล้วที่เรามาอยู่เพราะเนื่องจากเขาต้องทำตัวเป็นกลาง ไม่อยากเลยที่จะเหนื่อยแบบนี้อีก เข้าใจแบบง่ายๆคือ...การมาอยู่บ้านใครไม่ควรทำให้เจ้าของบ้านเดือดร้อน

เราเศร้าใจในวินาทีนั้น...เราไม่โกรธที่เขาโกรธ เราเศร้าใจที่ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ เจ้าของบ้านไม่ได้มีความสุขใจเท่าไหร่ที่เราเข้ามาอยู่ เขาเองก็ลำบากใจที่เราเข้ามาอยู่โดยเขาต้องแบกภาระความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับเพื่อนลูกเอาไว้ เราไม่ควรเพิ่มภาระให้พวกเขามากไปกว่านี้


เด็กหญิงขอโทษเราเมื่อเห็นเรานั่งเหม่อหลังจากที่โดนเหน็บต่ออีกชุดใหญ่ เรายิ้มบอกเธอไปว่า "ไม่เปนไร หนูโอเคใช่มั้ย"

ช่วงเวลาหลังจากนั้นเราพยายามคิดสถานที่ๆเราจะไปซุกหัวได้แต่ก็จนปัญญา เราไม่มีเงินทอง ที่ติดตัวก็เหลืออยู่ไม่ถึงร้อยเลยด้วยซ้ำ ความเศร้าใจที่เราสมเพชตัวเอง


เวลาผ่านไปเราสูบบุหรี่จนหมดซอง อยากซื้อใหม่แต่เกรงว่าเงินจะไม่พอแล้ว เย็นนี้คนในบ้านจะออกไปฉลองที่เพื่อนเราได้เลื่อนขั้นเงินเดือนใหม่ เราได้แต่นั่งคิดเรื่องเก่าๆ...พานพาน้ำตาไหล


เด็กหญิงเดินซึมเข้ามาหาเราเพื่อขอโทษอีกครั้ง เราเพียงยิ้มให้และลูบหัวเธอไป พลางก็มีความสุขที่ความเศร้าของเราได้ช่วยคนอื่นได้พ้นทุกข์บ้าง

..........

Tuesday, January 27, 2009

วันที่ใครก็ไม่อยากฟังเสียงของคุณ...

อาการแบบนี้มันกลับมาอีกครั้ง ในยามที่คุณป่วยหากแม้นคุณมั่งมีเงินทองอาจมีคนมาห่วงใยดูแล หากแม้นไม่มีก็ให้อยู่กับการคาดหวังน้อยๆ เพียงใครสักคนมาแลกเรื่องบ่นกับคุณยามคุณท้อแท้

แต่เรื่องมันก็ยากเช่นนี้ เพราะยามที่คุณสลด..จะไม่มีใครเข้าใจจิตใจคุณได้นอกจากคุณ จำต้องจำใส่ใจเอาไว้ว่าคุณพยายามอย่าคาดหวังกับคนอื่น นั่นไม่ต่างจากการที่คุณเพิ่มเรื่องผิดหวังเข้าไปอีกหนึ่งเรื่อง เสี่ยงต่อการหนักใจยิ่งกว่าเดิม

มีแต่ตัวเราที่ต้องอยู่กับตัวเรา

จึงไม่แปลกที่อาการป่วยจึงลามปามกัดกินหัวใจของคุณให้แหว่งวิ่น คุณจึงป่วยหนัก และคนแล้วคนเล่าจะมองคุณด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

แต่ก็มีเหตุรองรับหลังจากนั้น จุดนี้ถูกอุดได้โดยฉับไว ยังมีคนที่อยากฟังคุณ มิใช่การฟังทางเดียว

คุณจ่ายเงินไป เขาก็ฟังเรื่องราวของคุณ


จิตแพทย์


.............

Sunday, January 25, 2009

ระหว่างการเดินทาง

ความเศร้าที่รู้สึกได้โดยที่ไม่ต้องใช้ตามอง การลาจากในครั้งหนึ่งของชีวิตที่เรียกความเป็นชีวิตกลับมาได้เป็นอย่างดี

ทำไมหลังจากนั้นความอยากมั่งมีจึงกลับมาโดยไม่รู้สาเหตุ

อยากทำงานหนัก

บทสนทนาของคนนั่งข้างพาวกกลับโลกของมนุษย์ที่แสนเอือมระอา

การพูดแบบตรงไปตรงมา...จบสิ้นการถนอมน้ำใจ ที่มาของการเดินทางที่เงียบกริบตลอดทาง

ถึงจุดหมายใครบางคนแสดงออกถึงแววตาที่บอกว่า ...ฉันกำลังจะสิ้นสุดการเดินทาง บางทีนั่นอาจหมายถึงปลายทางที่แปลว่าบ้าน แววตาที่ต้องเลี่ยงต่อการสบตา ทำได้แค่เพียงก้มหน้าและเดินออกมาจากฝูงคน



บนรถแท๊กซี่ที่ไร้ปลายทางที่แน่ชัด การปฏิสเธจากผู้เป็นมารดา ยังจะมีที่ไหนที่อ้าแขนต้อนรับอีก



ภาพนอกกระจกมัวขุ่น...น้ำคล้ายจะไหล พลันคิดถึงข้อความที่มาตอนตีหนึ่ง หมาตัวหนึ่งตายแล้ว...ผู้ส่งบอกมาเช่นนั้น คนแปลกหน้าที่นับเป็นพี่น้อง ใจความแสดงบอกว่าเขาเหนื่อยล้าเต็มกำลัง เช่นเดียวกับคนรักของเขา ต้นเหตุของเรื่องเศร้าทั้งหมดทั้งปวง


รถยังคงเดินหน้า ถอนหายใจยาวในความเงียบ...สักวันหนึ่งเธอจะไม่มีน้ำตา แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รู้สึกเศร้าเสียใจ


..................



.................

Friday, January 16, 2009

ภาพนอกหน้าต่าง

แสงแดดส่องจากช่องนอก หน้าต่าง
กลิ่นดอกไม้หอมเจือจางฝากลมมา นั่นไซร้
ต้นหนึ่งชิดริมรั้ว ครั้งหนึ่งเธอเคยหิ้วเอามาฝาก
ครั้งที่มันยังเป็นต้นไม้เล็ก ดุจดั่งรักเราสองเพิ่งก่อ


เสียงนกร้องกู่ก้องดังเป็นคู่ แทรกผ่าน
เรื่องวันวาน ย้อนคืนให้เห็น ภาพใกล้
คู่รักมัน เราสองเคยเคียงหนุนตัก
ฟังมันร้องเพลงรักใต้ต้นไม้ใหญ่ จำปา


ตะวันขึ้นทุกวันทิศเดิม ต่างจันทร์ที่ย้ายกาย ขึ้นสูง
บ้างเดิม บ้างลับ..ล้วนเป็นเรื่องไกลเกินกำหนด
ทั้งหมดเรารู้เรา มีพบมีจาก
เช้านี้ฉันลืมตาตื่น เรื่องดีคือฉันพรากจาก ฝันร้าย

...............

Friday, January 09, 2009

ในบางกอก...

ผมฟังคนหนึ่งคนพูดถึงการเดินทางของเขา แววตาของเขาช่างสัตย์ซื่อ และจริงใจ
ผู้คนล้วนตื่นเต้นในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง บ้างบางคนจดจ้องเขาอย้างไม่กระพริบตา บ้างบางคนพยักหน้าตามคล้ายเขาเป็นนักอ่านนิทานที่มีเด็กน้อยคอยจ่อจดกับเรื่องราวของเขา

เวลาไหลร่วงเลยผ่าน ต่อมาเขากล่าวถึงอดีตที่เลยผ่านของเขา อารมณ์ร่วมเลยไปไกลเหมือนคอร์ดดนตรีที่เปิดทางกว้างสู่ท่อนฮุคที่ต้องการเน้นพลังของคำร้อง

มวนบุหรี่มอดไหม้ เรื่องราวไหลดำเนินผ่านไร้ความสะดุด ดุจกวีที่ผ่านการรจนาจากกวีเอก


นาทีนั้นฟ้ามืด เรื่องราวของเขาดับสิ้นไปแล้ว...ผมกำลังคิดถึงเรื่องราวอื่น มิใช่เรื่องของเขา

เรื่องที่หากเอ่ยกล่าวไป จะทำให้เรื่องราวของเขาดูจืดชืดสนิท ผู้คนจะสนุกจนหัวเราะร่า และมีน้ำตายามเรื่องเลยไกล...เรื่องราวที่ครบรส หาใช่เรื่องปลอบประโลมจิตใจ หรือสร้างสรรค์หัวใจให้มีกำลังสู้

ถึงเช่นนั้น...ผมเองก็ยังคงเงียบ และทบทวนเรื่องราวของตัวเองท่ามกลาง เสียงเล่าเรื่องของเขาที่ดังอยู่ในอากาศ

...................

Monday, January 05, 2009

ล้มเหลว

ผมไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลยสักอย่าง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนผมก็ยังเป็นคนแบบนั้น ผิดพลาด และจมปลักอยู่กับที่อยู่ตลอด

อดีตที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา อนาคตก็เป็นภาพลวงตา ปัจจุบันก็เป็นภาพลวงตา

หลายครั้งผมหวังว่าเรื่องทุกอย่างจะจบสิ้นเสียที ให้มันจบลงเสียที แต่ดูเหมือนมันไม่เคยละสายตาจากผมแม้เพียงเสี้ยววินาที มันไม่เคยปล่อยให้ผมมีความสุข

ผมช่างสมเพชตัวเองเหลือเกิน

จะอะไรซะอีก...ผมมันเป็นคนขี้แพ้

สิ่งที่พระเจ้าได้เลือกให้ผมเป็น

ผมไม่ได้รังเกียจหรือชิงชังพระเจ้า ไม่ได้วอนขอให้ท่านเห็นใจ

เพียงผมอยากได้สิ่งๆหนึ่งที่ท่านสมควรมอบให้


เอาทุกอย่างไปจากผมให้หมดสิ้น...รวมถึงชีวิต

ปลดปล่อยผมไปซะ

วอนท่านเห็นใจ


..........

Sunday, January 04, 2009

เหตุการณ์ซ้ำซาก


ผมมักจะไปสถานที่ใหม่ๆเสมอ เจอผู้คนใหม่ๆ หลีกหนีผู้คนเก่าๆ


มากมายน้ำใจมอบให้ มากมายความรู้สึกดีตอบรับ


จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อผมมีใจให้ผู้คนเหล่านั้น ผู้คนที่คล้ายพาผมให้ลบลืมเรื่องราวเก่าๆ ฝันร้ายในอดีต


ในที่สุดพวกเขาเหล่านั้นก็เดินออกมาจากความมืด เปิดเผยตัวตนที่แท้ให้ผมได้มองเห็นและรู้สึก เดินเข้ามาล้อมวงประชิด แล้วเรียกร้องสิ่งที่ตัวเองอยากได้


ผมมีเพียงแค่ตัว และบาดแผลที่ยากต่อการรักษา เช่นนั้นสิ่งเดียวที่ผมสามารถมีให้พวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียงแค่มิตรภาพที่ดี..มีเพียงแค่นั้น


เช่นนั้นจึงเกิดเรื่องราวเดิมๆอีกครั้ง...


การออกเดินทางครั้งใหม่ ผมยังคงไร้เพื่อน และหวังว่าคราวหน้าผมจะแข็งแรงดี


...............