Thursday, October 04, 2007

คุณเคยมึนหรือเปล่า?

ผมเองเคยมึนเพราะคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เคยมึนเพราะเหล้าและเบียร์ต่างๆนานา แต่ไม่เคยมึนเพราะกระแสการหมุนวนของสังคมมนุษย์ที่เปลี่ยนไปทุกวี่วัน ความอยาก ความโลภ ทำให้มนุษย์ตั้งโจทย์ให้ยากขึ้นทุกๆวันและยากขึ้นไปกว่าเดิมากมาย บาปบุญคุณโทษดูเหมือนจะเป็นเพียงรูปเสือที่ติดอยู่ข้างฝาผนังไม่มีแม้แต่หมาตัวใดที่จะยำเกรงสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป ผู้คนในสังคมยุคนนี้เข้าสู่ยุค "วัตถุนิยม"อย่างเต็มตัว...ผมคิดเช่นนั้น

งานที่ผมทำตอนนี้ทำให้ผมคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตผมเมื่อหลายปีก่อน ผมทำแต่งานงานงานและก็งานและก็งานและก็งานอีกงานแล้วงานเล่า ผมทำงานจนลืมทุกสิ่งเพราะปราถนาให้มันมีความสมบูรณ์โดยเสร็จสิ้น ให้มันสมบูรณ์เต็มสมบูรณ์ แต่ในคราที่เราทำงานนั้นก็ทำให้เราลืมเลือนเรื่องราวหลายหลายอย่าง ลืมเลือนคนที่อยู่เคียงข้างเรา ลืมเลือนคนที่เราต้องเอาใจใส่ ลืมเลือนความเป็นมนุษย์...เพราะงานสอนให้คนที่ทำนึกถึงดอกและผลที่กำลังจะออก งานทำให้คนที่ทำมองเห็นแต่ข้างหน้าที่สวยงาม งานปลูกฝังความเห็นแก่ตัวถ้าไม่ทำมันแบบพอดิบพอดี ไอความพอดิบพอดีนี่แหละที่เขาว่ายากกันเป็นหนักหนา...เพราะปัญหามีอยู่ว่า อะไรคือความพอดิบพอดี!!

วันนึงไม่นานนี้ผมเคยจับชั่วโมงการโทรศัพท์เรื่องงาน สามชั่วโมงสี่สิบสองนาที!!เป็นคำตอบที่ผมใช้โทรศัพท์พูดคุยปรึกษาและวางแผนงาน นั่นเป็นเพียงเวลาออนแอร์...นอกเวลาปกติผมยังต้องคิดเรียกคนมาประชุมและคอยคิดถึงเรื่องการวางแผนในระยะยาวเพื่อความปลอดภัยของบริษัทและคู่ค้า แล้วในวินาทีหนึ่งผมก็ต้องสะอึกเมื่อคิดถึงว่า "นี่มันวงเวียนชีวิตเดิมๆ"

สัญญาอยู่ตรงนี้เลยว่าผมจะไม่ทำงานแบบนั้นอีก และเมื่องานทั้งหมดได้สิ้นเสร็จในเวลาอันใกล้นี้ ผมจะออกเดินทางอีกครั้ง กลับไปอยู่ในซอกมืด อยู่แบบหวาดผวา อยู่แบบเดิมเดิมคล้ายดั่งสองปีกว่าที่ผ่านมาแล้ว เพราะผมชอบแบบนั้น

มีเรื่องสองสามเรื่องที่ค้างคาอยู่ซึ่งตอนนี้เสร็จไปแล้วหนึ่งเรื่อง ผมเพียงหวังในอีกไม่นานนี้ทุกอย่างจะสิ้นเสร็จสมบูรณ์...ผมเพียงหวังผมจะได้จากไปอยู่ที่ที่ควรไปเสียที ผมเกลียดเมืองเมืองนี้ และเกลียดความวุ่นวายที่ไม่รู้จักจบสิ้น

"ขอให้งานผ่านพ้นไปได้ด้วยดี"...ถ้านี่เป็นคำอฐิษฐานผมหวังเพียงว่าจะมีใครบนเบื้องบนสักคนที่ได้ยินมัน

......................

Saturday, September 29, 2007

"do not let me be lonely tonight"

ช่วงนี้ผมมีปัญหากับตัวเองอย่างหนัก ฟุตบอลที่เคยดูแล้วสนุกกลับเป็นไม่สนุกเหมือนเคย เพลงที่เคยฟังแล้วรู้สึกดีอย่างไม่มีเบื่อเป็นคราวนี้ที่แตกต่างกันออกไป และสำคัญตรงที่แม้นไม่ได้เปิดฟัง...เพียงแค่คิดถึงก็เกิดการรำคาญแล้ว

ผมสับสนทั้งที่ทุกอย่างกำลังจะดี

มันคงแปลกประหลาดนะถ้าคุณรู้ว่าทางที่คุณกำลังเดินไปจะมีจุดหมายปลายทางไปที่ที่ใครหลายคนฝันไว้ และเป็นปลายทางที่ใครหลายคนมุ่งหวัง...ใช่แล้ว ผมก็เคยมุ่งหวังที่จะไปปลายทางนั้นให้ได้ และผมก็เคยเดินทางไปแล้ว อย่างที่ผมบอกว่ามันคงแปลกถ้าคุณรู้ว่าปลายทางที่คุณกำลังเลือกเดินไปแม้จะมีทุกอย่างที่คุณรออยู่แต่คุณกลับลังเลที่จะเลือกปลายทางแห่งนั้น

ผมชอบความมั่งมีแต่ผมก็ไม่ลืมความอดอยาก ผมชอบอิ่มแต่ความอดสอนอะไรผมได้มากกว่าความอิ่ม ผมคลั่งการมั่งคั่งแต่ความยากไร้กลับสอนผมในเรื่องน้ำใจและการให้...เวลาผ่านผมกลับลืมเลือนสิ่งที่ผมอยากได้ไปเสียแล้ว

สองปีที่ยากไร้..สองปีที่อดยาก แต่ก็เป็นสองปีที่ชีวิตเต็มไปด้วยชีวิต ได้รู้ว่าภาพไหนจริงและภาพไหนเป็นมายา เป็นสองปีที่คุ้มค่าผมคิดเช่นนั้น

ผมยืนอยู่บนปลายทางที่จะเลือกเดินทางที่เห็นจุดหมาย ผมยืนอยู่อย่างสับสน

ขวาคือชีวิตที่ชื่นสุขดั่งเดิม..ส่วนซ้ายเป็นชีวิตที่ลุ้นระวังทุกขณะ

จะมีประโยชน์อะไรหากมือเราเต็มไปด้วยเงินแต่กลับเป็นคนที่ไร้หัวใจ จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราจะกลับไปในเส้นทางที่เต็มไปด้วยมายา

"ความอดอยากไม่ใช่เหรอที่สอนผมให้เป็นคน"

..........................

"เมืองหดหู่"...



"เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง" ผมเขียนเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพราะบรรลุถึงแก่นธรรมหรือว่าพลัน 'ซาโตริ' แบบในนิกายเซนได้ ผมพลันคิดได้เพียงเพราะว่าในตอนที่ผมต้องการมันเป็นที่สุด ในตอนที่ผมต้องการใช้มันอย่างเป็นที่สุด กลับกลายเป็นรู้สึกว่า "เงิน" ไม่มีความหมายอีกต่อไป

บ้านเก่าๆ ห้องแคบๆ ต้นไม้ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ต้นลั่นทมที่ผู้คนเปลี่ยนชื่อเพราะชื่อมันแสลง สถานที่ซึ่งยากไร้ซึ่งความเจริญมันหายไปแล้ว หายไปหมดแล้ว

บ้านหรูหรา ต้นไม้ที่รูปกายสวมสง่า ดอกไม้ที่ชื่อสุดแสนสะมะหลา สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความเจริญตรึงปักอยู่ตรงหน้าผมเพียงใกล้มือเอื้อม เมืองที่มีสถานที่สุดแสนศิวิไลซ์ ทั้งใครก็บอกผู้คนมีความศิวิไลซ์ สิ่งก่อสร้างทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ล้วนผู้คนบอกมันมีความ "ศิวิไลซ์" ผู้คนเดินขวักไขว่มากมายสร้างวงโคจรของชีวิตในเมืองขึ้น รถวิ่งเร็วขึ้น คนวิ่งเร็วขึ้น หมาวิ่งเร็วขึ้น คล้ายทุกอย่างกระตุ้นซึ่งกันและกัน คล้ายทุกอย่างต้องพึ่งพากัน หรือนี่คือจักรวาลของเมืองหลวงที่มีความโลภและโสสมมของจิตใจมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง

ตึกที่สูงสง่าเด่นไม่เด่นเดี่ยวล้วนมีเพื่อนฝูงสูงเคียงข้างยืนอยู่ข้างหน้าในคืนเหงา ไฟในตึกออฟฟิศร้างส่องแสงให้รู้ว่าภายในตึกแสงสีสวยแต่ภายในตึกในชั้นนั้นเป็นว่างเปล่า เพียงเปิดไฟเพื่อความสวยงามของตึก ใครได้ยลอาจรู้สึกได้เป็นความงามที่แสนเงียบเหงาและหดหู่ เมืองที่รถไฟฟ้าเคลื่อนที่ในยามค่ำยังคล้ายโรแมนติคได้ เมืองที่มีไฟป้ายหลากหลายสีส่องแสงเต็มทั่วท้องถนนยังสามารถให้อุณหภูมิภายในหัวใจเป็นเย็นเฉียบ หรือจุดศูนย์กลางของระบบสังคมศิวิไลซ์นี่คือความเศร้า...ใครรู้วานบอก?

บุหรี่สองตัวถูกเผาผลาญแบบกระชิดชั้น ควันของมันคล้ายถูกกลืนหายทุกหยาดหยด ผมค่อยปล่อยควันไปแบบช้าๆและช้าๆ ภาพบางภาพและคำพูดของใครบางคนผ่านเข้ามาในสมอง ทำเอาสมองคล้ายชาด้านในชั่วขณะหนึ่ง

"หกโมงครึ่งผมมาถึงที่ทำงานและกลับบ้านหลังสี่ทุ่มทุกวันครับ ที่นี่เราทำงานกันหนัก"

"ออฟฟิศเราไม่มีใครกลับก่อนหกโมงเย็น คุณต้องรู้ว่านายเราทำงานหนัก เราได้โบนัสเยอะมากจริงๆ บางทีที่เราไม่ได้ติดต่อกลับไปในทันทีเพราะว่าเรายุ่งมากจริงๆค่ะ"

"คุณมีลูกไหม?"ผมถามคนทั้งสอง

"$#$#@@$#@"ทั้งสองตบสรุปว่ามีทั้งคู่

.............................................

ผมเข้ามาในเมืองศิวิไลซ์เพราะความจำเป็นในการทำงานเรื่องหนึ่ง เพราะความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้า ผมเข้ามาสวนทางกลับทางที่ผมได้ออกไปเมื่อสองปีที่แล้ว "สองปีที่แล้ว" ไม่นานนักและไม่น่าที่ผมจะลืมอะไรบางอย่างที่ง่ายๆได้ มันน่าจะเป็นเช่นนั้น

??????????

ความสับสนในที่สุดก็สร้างคำมาหนึ่งประโยค หนึ่งคำถามต่อตัวเองปรากฏในชั่ววินาทีหนึ่งในคืนอันว่างเปล่า "ผมไม่แน่ใจนักว่านี่เป็นเมืองที่ผมเคยอยู่?"

ควันบุหรี่มวนที่สองจางหาย เสียงหัวเราะของใครคนหนึ่งทำลายความเงียบในคืนเหงา คำถามบางคำถามล่องลอยอยู่กลางอากาศ "นี่หรือคือเมืองที่เราเคยเสียน้ำตาทุกค่ำคืนเพื่ออยากจะกลับมา" ไม่นานนักใครคนนั้นส่ายหัวพร้อมกล่าวในใจ "เราจะออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เร็วได้"

..............................................

Saturday, July 07, 2007

กุญแจบ้าน

มาแล้ว มาแล้ว มาแล้ว


จำชื่อผ่านทางและพาสเวิร์ดได้แล้ว


กุญแจบ้านหลังนี้...เจอแล้ว!!!

Sunday, February 04, 2007

ใครเลยจะรู้...

ถ้ามีใครผ่านมาทางนี้ช่วยบอกด้วย ที่นี่คล้ายกลายเป็นบล็อกรกร้างไปแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าใคร เป็นเพราะผมเอง
หลายครั้งครั้นเดินผ่านไปมาคล้ายกับแกล้งมองไม่เห็น แต่ไม่ว่าใครก็ตามบนโลกไม่สามารถไม่รู้สึกกับสิ่งที่เคยรู้สึกได้ ผมคิดเช่นนั้น
รักเป็นอย่างไร...ในชีวิตนี้ไม่เคยถามใครและไม่เคยมีใครถาม แต่เคยเห็นคนอื่นตั้งคำถามนี้ขึ้นมา
รักที่สุขสมเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ อาจเป็นเพราะว่าผมเองไม่พยายามที่จะไขว่ขว้ามัน อาจเป็นเพราะว่าผมเองไม่พยายามรักษามันให้ดี
ถ้าจะต้องโทษใครสักคน...ก็คงต้องโทษตัวเอง
ทุกๆเช้าในวันที่อากาศหม่นหมอง หรือทุกๆคืนที่ท้องฟ้าดูหมองเศร้า บ่อยครั้งที่ผมกลับไปนึกถึงเรื่องรักเก่าๆของผม
มีรอยยิ้มบ้าง...มีน้ำตาบ้าง อานุภาพของความรักนั้นมีอยู่จริงผมเชื่อเช่นนั้น
นั่งคิดเรื่องตัวเองแต่กลับไปคิดเรื่องบล็อกได่อย่างไรก็ไม่รู้...บล็อกร้าง คลายหัวใจที่รกร้าง แต่พอกลับมาสิ่งเดิมๆก็ยังคงอยู่เสมอ อาจมีบ้างที่ความรู้สึกได้เปลี่ยนแปลงไป
มีคนบอก...เวลาช่วยเยียวยาทุกอย่างได้ ผมเองก็เชื่อนั้น
ที่นี่เปรียบอารมณ์ด้านเหงาทั้งหมดของผม เป็นไปได้อาจเป็นเพราะว่าในช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากมายจนลืมไปว่าเราอยู่ในช่วงเหงา
กลับมาเหมือนทุกอย่างโปร่งโล่ง แต่บางสิ่งบางอย่างที่เคยฝังลึกลงไปในจิตใจยังไม่แปรเปลี่ยน
รักๆๆ...รักของผมในชีวิตที่เคยจริงจังมีสามครั้ง ว่าไปแล้วผมเองเป็นคนทำพังทั้งสามครั้ง
น้ำตาและหัวใจที่มีช่องโหว่เป็นหลักฐานชั้นดีที่หลงเหลือทิ้งไว้ให้เป็นร่องรอยแห่งความทรงจำ
คุณคนเดิมทั้งสามคงเปลี่ยนไปแล้วเช่นเดียวกับผมที่เปลี่ยนไป...ผมอบอุ่นเหลือเกินที่คิดถึงคุณทั้งสามคน
ป่านนี้คุณจะอยู่ที่ไหน ป่านนี้คุณจะอยู่กับใคร...เป็นเรื่องที่ผมใคร่ครวญคิดเสมอมา
ดาวที่เราเคยดูกัน เพลงที่คุณชอบ หนังที่เราเคยทะเลาะกัน เป็นผมที่ไม่เคยลืม...ผมคิดถึงพวกคุณเหลือเกินในค่ำคืนนี้
หมอนนุ่มๆเหม็นๆใบหนึ่งทำหน้าที่แทนตักพวกคุณได้เป็นอย่างดี...คุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมชอบนอนตักอ่านหนังสือเป็นที่สุด(พร้อมสูบบุหรี่ด้วยนะ)
อากาศเริ่มเย็นแล้ว คงไม่ดีนักถ้าผมจะจมความรู้สึกเช่นนี้ไปนานๆ
เมื่อก่อนตอนอยู่ใกล้คุณผมคงอยากอยู่ในช่วงเวลานี้ไปนานๆ...แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่ผมอยู่เพียงลำพัง
คุณคงไม่โกรธผมนะ...ถ้าผมจะขอตัวไปนอนก่อนที่จะมีน้ำตา
....................................