Tuesday, September 14, 2010

ยามเช้า

ที่นี่เงียบเหงายามพระอาทิตย์ตกดิน สดชื่นในยามเย็น และมากที่สุดในตอนเช้า เช่นนั้นจึงอธิบายได้ว่า ฉันมีช่วงเวลาที่ดีในยามเย็น และตอนเช้า แต่ต้องต่อสู้กับความคิดอย่างหนักในช่วงเวลาบ่ายและตอนกลางคืน ก็ฉันอยู่ในช่วงชีวิตที่ไม่ปรกตินี่หน่า



ขณะที่เขียนเป็นเวลาในตอนเช้า



อยู่ดีๆฉันก็นึกถึงคำของ-นนทรีย์ นิมิบุตร- การสัมภาษณ์ไม่นานนี้ของเขา เขาบอกว่างานที่เขาทำออกแนวย้อนยุคนั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่ชอบ-ศิลปะร่วมสมัย- เข้าท่าเลยทีเดียว คำตอบนี้ทำให้ฉันนึกไปถึงใครหลายคนที่มีภาษาที่ดี เศรษฐวัตร ก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น เขาเขียนหนังสือได้ดีแต่ไม่ยอมเขียน เขามักจะเขียนอะไรสั้นๆแต่ทรงด้วยพลัง ดูเหมือนเขาจะจดจ่อกับบทภาพยนตร์ของเขาเพียงอย่างเดียว สำหรับฉัน จดหมายของเขาน่าอ่านกว่าหนังสือหลายเล่ม นี่เป็นเรื่องที่ฉันบอกกับเจ้าตัวไม่ต่ำกว่าสองครั้ง



เพลงของดนู



เช้านี้ฉันพยายามหาเพลงที่ฉันมักจำชื่อสับสน -รักคนบ้านเคียง-ละมัง ไม่มีเหตุผลอะไรมาสนับสนุนหรอก อยากฟังก็คืออยากฟัง ดนตรีของเพลงนี้มันพิเศษ มันมีอะไรมากกว่าเพลงอื่นๆ ฉันชอบคิดว่าคนแต่งนั่งอยู่หลังบานหน้าต่างบานหนึ่ง บ้านไม้ แล้วมองออกไปที่บ้านหลังหนึ่งที่เขามีความรู้สึกร่วม ไม่รู้สิ ฉันเคยเห็นคนร้องไห้เมื่อเล่นเพลงนี้เสร็จ ฉันเข้าใจที่เห็นน้ำตาของเขา วงสินเจริญ บราเธอร์ น่ะสินะ



หนี้สิน กับ งาน



หนี้สินของฉันไม่ธรรมดาหรอก รวมๆกันมันมากกว่าสิบล้าน ฉันพยายามคิดอยู่หลายวันว่าฉันจะเริ่มต้นจัดการกับมันอย่างไร ยากเอาการอยู่ แต่ฉันก็เชื่อในคำๆหนึ่ง เมื่อเราเคยมีได้เราก็ต้องกลับไปได้ คนเป็นหนี้หลายสิบล้านได้ก็คงมีอะไรอยู่ในตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ฉันพยายามชี้ให้เห็นว่าชีวิตยังมีทางออก ปลอบใจตัวเอง เพราะบ่อยครั้งดูเหมือนว่าฉันจะยอมแพ้





สั้นๆกับประโยคหนึ่งในร้านเหล้า



-นาย..วันหนึ่งเราต้องตาย หากคิดถึงเรานายไม่ต้องทำอะไร นายทำงาน- ศิลป์ พีระศรี





...........

ให้มันเป็นไป

ฉันกลับมาแล้วล่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกว่าเดิม จะให้ฉันโกหกหรือให้ฉันพูดความจริงก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม บอกตามตรงว่า-ช่างแม่งเหอะ- มันก็ไม่ได้ต่างจากความจริงก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ ไม่ว่าฉันจะทำดีหรือร้ายผลมันก็มักจะออกมาแบบเดิมเสมอ นั่นความคือเลวร้ายอันแสนบริสุทธิ์ที่ยืนต้อนรับฉันอยู่ตรงหน้า ทีนี้ฉันก็อยากถามว่า เมื่อไม่มีอะไรแตกต่างเธอจะเลือกเดินในทางแบบไหน เรื่องของเธอ แต่ของฉันเลือก-เหี้ย- เหี้ยสิสนุกกว่า อย่าหาว่าฉันไม่อดทนเลยนะ ฉันก็เป็นผู้หนึ่งที่ชื่นชอบคำของไอสไตน์ -คนโง่คือคนที่ทดลองทำอะไรแบบเดิมๆ เพื่อหวังผลให้เปลี่ยนแปลงไปจากที่มันเป็นอยู่- เธอลองนึกแล้วลองอ่านไปช้าๆ แล้วเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการบอก ฉันไม่เคยมั่ว หนังสือของฉันสักเล่มที่ฉันเขียนก็ไม่เคยมั่ว พวกมันไม่เข้าใจเองต่างหาก คนแบบไหนกันล่ะที่ชอบเอาข้อสอบคณิตศาสตร์มานั่งทำฆ่าเวลาตอนสูบบุหรี่ แน่ล่ะ เธออาจมองเห็นฉันเป็นคนบ้าๆบอๆ นั่นก็เป็นเพราะเธอเป็นคนบ้าๆบอๆ คนโง่ก็มักจะมองคนอื่นโง่เหมือนตัวเอง มันตลกมากสำหรับวรรคนี้ เอาเถอะ ฉันให้อภัยแก่พวกมัน ไม่ใช่ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นใคร ฉันรู้ เช่นนั้นฉันจึงให้อภัย



หลังจากที่ฉันไปอยู่แบบเงียบๆ ฉันคิดได้ว่าบางทีฉันไม่อาจอยู่บนโลกใบนี้ได้หรอก เรื่องของฉันไม่นานนี้คงได้เป็นข่าวสั้นๆหน้ารองสุดท้าย เพราะฉันจะมีข้อความเขียนไว้บนเสื้อนิดหน่อยว่า -ทหารเหี้ย- คนที่ตัดสินคนอื่นแบบโง่ๆก็จะคิดว่า ฉันเองเป็นผู้ฝักใฝ่ในการเมือง รักประชาธิปไตยชิบหาย ฝ่ายค้านคงเอาเรื่องฉันไปพูดในการแถลงข่าวหากมันดังพอ ส่วนฝ่ายรัฐบาลคงไปคุ้ยประวัติฉันมาอ้าง แน่ล่ะ ฝ่ายรัฐบาลจะชนะ ฉันมันคนหนี้เยอะสินะ คงตายเพื่ออะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยหรอก ต้องเป็นเงินแหงๆ ไม่งั้นก็อยากดัง พวกมันคิดได้แค่นี้แหละ คิดว่าคนตายเพราะห่าอะไรสักอย่างที่เหี้ยๆ มันตัดสินกันตรงนั้นนั่นแหละ



-แต่ไม่หรอก- ฉันอยากตายเพราะว่าฉันอยากตาย มันใช้เวลาไม่นานหรอก ฉันกำลังตัดสินใจเลือกวิธีการอยู่ว่าจะเอารูปแบบไหน(ว่าไปแล้วฉันก็เป็นคนละเมียดในการคัดสรรเอาการอยู่) เหมือนคู่รักที่เลือกตัดสินใจในการเลือกซื้อบ้าน มันก็ง่ายๆอย่างนั้นเอง ฉันจำต้องพิถีพิถันในการตายในแบบฉบับของฉันหน่อย เหมือนแบบที่ฉันเลือกนาฬิกา แว่นตา ความพิถีพิถันไม่น้อยไปกว่านั้น น้อยคนที่จะมองฉันได้ทะลุปรุโปร่ง พวกนั้นดูถูกฉันเพราะฉันชอบใส่กางเกงขาดๆ เสื้อเก่าๆ แต่พวกมันไม่มีตาหรอก มันตัดสินที่เสื้อและกางเกงของฉัน เหมือนกับที่มันเลือกเมียโดยคัดสรรจากเฉดสีของเครื่องสำอางของเมียมัน ฉันจะให้ค่าคนพวกนั้นอย่างไรได้จากให้ควย พวกที่ชอบของสีสดใสแต่ข้างในกลวงโบ๋ คนที่ประจบเอาใจคนอื่นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ควรได้ พวกมันเป็นสัตว์ดูดเลือด อาว์- ฉันคิดถึงประโยคที่อเล็กซานเดอร์พูดกับลูกของเขาจังในวันที่เขาถูกลอบสังหารโดยรู้ว่าลูกเขาก็เอาด้วย ฉันก็ด้วย-ฉันสินะที่เป็นหนี้โรงพยาบาลเพราะว่าอยากมีชีวิตรอดเพื่อเห็นแสงสว่างในวันรุ่งขึ้น ส่วนพวกมันกลับคลานออกไปในวันที่ฉันเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกจนไม่มีอะไรเหลือ

Tuesday, August 24, 2010

เช่นนั้น

มีหลายอย่างที่ห้ามใจให้อดคิดไม่ได้ จะหักห้ามใจคิดได้อย่างไร-เมื่อได้เห็น-ยุงที่แบนราบอยู่ในหน้าหนังสือ คนที่เดินโดดเดี่ยวกลางสายฝน แมวน้อยตัวหนึ่งที่เดินอยู่บนกำแพงในยามค่ำคืน อดใจคิดไม่ได้ เช่นเดียวกับตอนที่อยู่คนเดียว ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง สูบบุหรี่ ดื่ม ภายใต้แสงไฟที่เหลืองอ่อน-ต้องเป็นสีเหลืองอ่อนเท่านั้น การต้มเส้นสปาเก็ตตี้ก็มีช่วงเวลาของมัน การอ่านหนังสือก็เช่นกัน แต่ถ้าเธอเป็นคนที่ทานมื้อค่ำกับใครก็ได้-อาหารอะไรก็อร่อยเหมือนกัน-คำอธิบายก็ไม่จำเป็น คนที่ซื้อบุหรี่ทีละซองก็แตกต่างกับคนที่ซื้อเป็นคอทตอนราวฟ้ากับเหว นักวางแผนมักซื้อทีละเยอะๆเพราะประหยัดและไม่เสียเวลา นักเศรษฐศาสตร์ที่ดีแต่ไม่ใช่นักสูบ นั่นเพราะเรามีเวลาเหลือเฟือจนอยากจับจ่ายเวลาชีวิตที่มีให้กับมัน เราไม่ใช่คนฉลาดแต่ก็ไม่โง่จนไม่รู้ว่าบุหรี่เป็นสาวสวยที่แสนโหดร้าย โฮสเตสที่มีราคาแพงเวลาที่เรียกมาดื่มเป็นเพื่อน ที่ต้องจ่ายคือ-นาทีต่อนาที- นักสูบชอบช่วงเวลาที่เดินไปซื้อบุหรี่ มีช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากมัน มีพอให้คิดถึง เรียกง่ายๆว่าเป็นพวกโรแมนติกชนิดหนึ่ง คนที่เคยเขียนจดหมายถึงคนที่ชอบคงเข้าใจ-เมื่อได้เห็นคนที่บอกรักคนผ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือในสมัยนี้ เราเรียกสิ่งนี้ว่าความผูกพันธ์ ในบางครั้งมันก็มีความเข้าใจ แต่บางครั้งมันก็ไม่มี ความรู้สึกไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรามีความรู้สึกด้วย ที่สำคัญคือความรู้สึกที่เรามีมอบให้ไป ไม่จำเป็นที่เราต้องมีความรู้สึกดีๆกับคนที่ดีๆ บางครั้งเราอาจไม่มีความรู้สึกก็ได้ ความรู้สึกเป็นเรื่องส่วนตัว หากไม่บอกกล่าวใครหรือแสดงท่าทีออกไปก็จะไม่มีใครรู้ แต่เรามักอยากจะรู้ความรู้สึกของคนที่เรารู้สึกด้วย คิดว่าจำเป็นมั้ย-เธอคาดหวังอะไรกับการที่เธอถามคนอื่นว่า -ฉันเป็นคนยังไง- แต่ที่ร้ายที่สุดของความรู้สึกก็คือคนบางคนสามารถแสร้งทำเป็นมีได้ แน่ล่ะ ทุกอย่างย่อมมีการพิสูจน์ แต่ที่น่ากลัวก็คือคนที่อยากได้ความรู้สึกตอบสนอง เพราะทั้งที่รู้แต่บางทีก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ กลับไปที่บอกก็คือ อะไรที่ไม่ต้องการเหตุผลก็ได้เป็นเรื่องที่สุ้มเสี่ยง อย่างเช่นความรู้สึกในวันนี้หลังจากที่นั่งไปเรื่อยเปื่อย สูบไปเรื่อยเปื่อย จนในที่สุดก็อยากหาแผ่นกระดาษขึ้นมาเขียน จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ขอเพียงให้ได้เขียน ต้องการเพียงแค่นั้น นี่สินะที่เขาเรียกกันว่า-ตกหลุมรัก-




..........

Friday, March 13, 2009

อย่าฟูมฟาย

ก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่เราเชื่อ และพยายามตรึกตรองว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ได้ทำร้ายใคร

อย่าท้อแท้ต่อโชคชะตา ทุ่มเท่ทุกอย่างที่มีแล้วต่อสู้ในสิ่งที่กำลังจะก่อเกิด

สิ่งที่เราเชื่อว่ามันมีค่าพอที่จะทำให้ทุกสิ่งที่เราทุ่มเทไม่เสียเปล่า


ไม่คร่ำครวญไม่ว่าทางลำบากแค่ไหน ไม่ท้อแท้แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เราถนัด

เพียงทำงานของเราต่อไป ...อย่าให้ทุกสิ่งที่ใครหลายคนผิดหวัง



โดยเฉพาะคนที่เราไม่อยากให้เขาผิดหวัง

Tuesday, February 24, 2009

"""""

สุดท้ายคนเราต้องอยู่ตัวคนเดียว

Sunday, February 22, 2009

อุ่นใจ

แม้ในตอนนี้ฉันจะปั่นป่วนขนาดไหนจากสถานการณ์ที่ได้เจออยู่ แต่ดูเหมือนเธอก็เข้าใจตลอดในสิ่งที่ฉันเป็น เธอไม่เคยต่อว่าในสิ่งที่ฉันทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ตรงกันข้าม เธอยังปลอบและหาทางช่วยเหลือฉันอย่างสุดกำลังไม่ว่าฉันจะเป็นคนโงเง่าขนาดไหน เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่เดียวดายบนโลก เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าชีวิตของฉันที่ไร้ซึ่งค่ากลับมีค่ามากมายมหาศาล เธอทำให้ฉันค่อยคิดค่อยหาทางลุกขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ล้มลงไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอทำให้ฉันไม่สามารถหยามตัวเองได้อย่างถนัดถนี่ เธอทำให้ฉันรู้ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ฉันยังเป็นคนดีของเธอเสมอ...แม้ในคราที่ไม่มีใครเห็นแบบที่เธอเห็นก็ตามที

ความผิดพลาด

ผมไม่สามารถรู้ไดเลยว่าทำไมสิ่งที่ผมทำผิดพลาดมันถึงมีค่ามากมายมหาศาล ทำไมมันถึงส่งผลร้ายแบบเป็นรูปธรรมให้ผมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทำไม และทำไม ทำไมการผิดพลาดของผมจึงเกิดขึ้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมมันถึงมาในรูปแบบที่แปรเปลี่ยนหน้าไม่ซ้ำแบบ เหมือนมันคอยจ้องเล่นงานผมอยู่ในทุกขณะหรือทุกนาทีที่มีโอกาส ทำไมมันไม่ปล่อยให้สิ่งต่างๆที่ผมพลั้งไปบ้างกลายเป็นสิ่งที่ไม่เกินความธรรมดาที่จะสามารถรับได้ เรื่องง่ายๆอย่างที่ผมทำพลาดทำไมถึงกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มหาศาลเสมอ


มันทำให้ผมเจ็บปวด


ไม่มีใครเข้าใจในเรื่องการผิดพลาดเท่ากับที่ตัวเราเข้าใจ เพราะในบางครั้งเราก็ไม่อยากให้อภัยในสิ่งที่ตัวเราทำพลาดไปทั้งแบบงี่เง่าและพลั้งเผลอได้ ข้อสำนึกที่ผมจดจำมันได้อย่างขึ้นใจ


ความผิดพลาดแท้จริงแล้วอาจจไม่เคยหายไปไหนเลย เพียงมันจะออกมาก็ต่อเมื่อเราไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เรากระทำ แม้เพียงเรื่องเล็กๆที่เราทำผิดมันก็สามารถขยายความให้เรามองเห็นภาพอย่างชัดเจนได้ นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ตลอดเวลาในชีวิตของผม

เรื่องที่เราสำนึกและยอมรับตลอด แต่ดูเหมือนมันจะสั่งสอนเราอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Tuesday, February 10, 2009

สูญสิ้นในตัวเอง

เมื่อใดก็ตามที่คุณสูญสิ้นในตัวเองเมื่อนั้นคุณจะรู้สึกทุกอย่างมันล่องลอย เวิ้งว้าง โลกที่คุณเคยรู้จักคล้ายทำให้คูณเหมือนคนแปลกหน้า คุณเป็นคนแปลกหน้าที่จุดๆนั้น คุณจะรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจคุณเหมือนอย่างที่คุณอยากให้เข้าใจ แต่สุดท้ายคุณก็จะเข้าใจได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งสิ้นมันก็ควรเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่ว่าคนรักคุณ ไม่ว่าเพื่อนสนิท ไม่ว่าบิดามารดา บางครั้งทุกคนก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวสำหรับคุณ

ผมชิงชังความรู้สึกนี้แต่ผมก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง

เมื่อคราวที่ผมทนทุกข์ใจผมแยกไม่ออกว่าอะไรดีอะไรเลว ผมไม่รู้ว่าคนที่พร่ำสอนผมให้รู้จักอดทนหรือรู้สึกสู้ชีวิตเคยเป็นอย่างผมหรือไม่ เค้าเคยโดนเพื่อนสนิทแทงข้างหลังหรือเปล่า เค้าเคยโดนคนรักสวมเขาให้เค้าในคราที่เขาเดินออกจากบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นเพื่อไปหาความสุขมาให้เธอ เขารู้หรือเปล่าว่าไม่มีคืออะไร ไม่มีคือไม่มีสักบาท ไม่ใช่มีอยู่น้อยนิดแล้วบอกไม่มี...เขาเข้าใจคำว่าไม่มีหรือไม่ อดทนล่ะ..เขาเหล่านั้นรู้หรือเปล่าอดทนที่แท้จริงมันคืออะไร การรอให้เจ้านายกินข้าวอิ้มก่อนแล้วเราค่อยอิ่มงั้นหรือ เขาเคยรู้หรือเปล่าว่าความอดทนนั้นมันหนักหนาสาหัสเพียงไร พวกเขาเหล่านั้นรู้หรือเปล่าว่าเมื่อสูญสิ้นทุกอย่างเป็นอย่างไร เมื่อไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีมิตสหาย ไม่มีคนรัก ไม่มีเงิน และคุณไม่สามรถอยู่กับที่ได้ เปรียบเสมือนคนที่ถูกตามล่า ระหว่างทางคุณทำเช่นไร คุณคงคิดอยากจะกลับบ้าน และคุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคนที่เป็นคนในครอบครัวของคุณปิดประตูใส่หน้าคุณในขณะที่คุณต้องการความช่วยเหลือในขณะนั้น

กรรม..

เมื่อคุณอยู่กับการชดใช้นานจนเกินไป คุณจะรู้สึกได้ว่าจริงๆแล้วโลกเราไม่มีพระเจ้าหรอก ไม่มีอะไรใดใดทั้งนั้น หลายคนที่คุณมองเห็นเค้ายังอยู่ดีทั้งที่คุณก็รู้ว่าเขาไม่ได้ทำดี เมื่อถึงจุดนั้นคุณก็จะรู้ว่ากรรมมันเป็นข้ออ้างเพื่อปลอบใจในเวลาที่คุณท้อแท้หรือเวลาที่ใครบางคนพลั้งพลาด มันเป็นแค่ข้อสมอ้างที่สมมติขึ้นทั้งนั้น

ความสูญสิ้นทำให้คุณครวญคิด...คุณจะต่อสู้กับมันหรือคุณจะยอมแพ้

บางครั้งเมื่อเวลามาถึงคุณต้องตัดสินใจ จะอยู่หรือจะไป

ผมจะสู้ต่อผลกรรมในบาปในภายภาคหน้าที่ผมจะลงมือกระทำ หากแม้นผลตอบสนองในกรรมมีจริง ผมก็จะไม่ปริปากบ่น โดยเฉพาะคำว่าความตาย..เช่นนั้นเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมถวิลหาตั้งแต่ครั้งแรกอยู่แล้ว

........................

Sunday, February 08, 2009

ยามเศร้า..

ยามเศร้า...

เรื่องราวที่เคยตลกขบขันก็มาทำให้ร้องไห้เสีย

เสียงเพลงที่เคยราบเรียบไร้มิติ กลับมีประตูเปิดให้เราเข้าไปเดินดูภายในตัวมัน ทุกสิ่งทุกอย่างพลันออกจากความราบเรียบ ทุกอย่างคล้ายเหมือนเป็นเรื่องของเราเองแทบทุกสิ่ง

งานที่เคยทำได้ง่ายๆก็กลับทำยากแสนยาก เรื่องง่ายแค่การลุกขึ้นจากเตียงนอนบางครั้งยังแสนลำบาก

เราจะร้ซึ้งคุณค่าของพื้นที่ทุกตารางนิ้วบนห้องนอน และเราจอขอบคุณมันโดยการไม่ออกเสียง

เราจะมองเห็นความทุกข์ของคนอื่น..และมองเห็นความดีของใครรบางคน

เสาไฟ้ฟ้าหน้าปากซอยที่ติดบ้างดับบ้าง..ช่างน่าสงสารยามมันอยู่เพียงลำพัง

เรื่องผีที่บ้านร้างดูเหมือนกลายเป็นเรื่องเหลวไหลในที่สุด

ความเศร้าทำให้ปราศจากความกลัว...และนั่นฉันเห็นว่ามันเป็นเรื่องดี

เวลา

ยังไม่มีใครทราบได้ว่าช่วงเวลาที่เหลือของแต่ละคนนั้นจะยืนยาวอีกสักเท่าไหร่ นับสิบนับร้อยปี หรือน้อยจนเกินที่จะคาดคิด เรื่องที่ไม่มีใครรู้

แต่เรื่องจริงมีอยู่ว่าเวลาทำให้เรามองเห็นบางอย่างชัดเจนกว่าเดิม เวลาที่ผ่านไปในชีวิตจะเป็นตัวกลั่นกรองให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนจากสิ่งที่เราจดจ้องมองอยู่ ซึ่งหลายต่อหลายครั้งเราจะรู้ได้ว่า...บางครั้งเราก็มองบางอย่างผิดพลาดไป มันอาจไม่ใช่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรามองเห็น เพียงแต่เราอยากจะเห็นมันในทางที่เราอยากจะเห็น

การมองเห็นทำให้เราเข้าใจถึงความจริงที่เป็นอยู่รอบข้าง และโดยใจความหลักนั้นมันก็คล้ายๆกัน เรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจหากแม้นเราอยากจะยังอยู่บนโลก หรือกระทั่งไม่อยากอยู่...ไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์ที่สุดแม้แต่ตัวเราเอง เราเองเพียงต้องทำความเข้าใจ และยืนอยู่คู่ไปกับมัน


เรื่องของเรื่องคือ...การอยู่ยาวนานไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรสำหรับฉัน

ครอบครัว คนรักเก่า เพื่อน ไม่มีแม้ใครที่ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าโลกนี้น่าอยู่ ตรงกันข้ามโลกใบนี้กลับน่าเบื่ออย่างที่สุด

ฉันเดินอยู่บนเส้นทางของเวลา ทำทุกอย่างเฉกเช่นเดิมเหมือนที่เคยทำ ดั่งเช่นการเคลื่อนที่ของรอบหน้าปัดนาฬิกา...เรื่องเดิมๆที่ฉันเผชิญอยู่ทุกวี่วัน


นานพอที่ทำให้ฉันรู้ว่า...ความรักมันก็มีค่าจริงนั่นแหละ เพียงแค่น้อยคนนัก ที่จะคู่ควรกับมัน

..................

ความน่ารังเกียจ

เมื่อเวลาเดินมาถึงจุดนี้ทำเอาผมเศร้าใจ


เรื่องหลายเรื่องที่ผู้คนได้พบเจอผมช่างเป็นเรื่องเศร้าใจ

ผมสร้างเกราะให้กับตัวเองโดยการเป็นบุคคลที่พึงน่ารังเกียจ พวกเขาจะได้รับสิ่งนั้นไปจากผม...เขาจะได้รับสิ่งนั้น ความน่ารังเกียจที่ผมยัดเยียดให้กับพวกเขา ความรู้สึกที่พวกเขาจะมีต่อผม เช่นนั้นเพราะผมไม่ควรที่จะมีใครมาอยู่เคียง มันคงเป็นความลำบากชนิดหนึ่งที่ผมจะยัดเยียดให้คนเหล่านั้นหากแม้นเขานับผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง...เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงได้เห็นเรื่องน่ารังเกียจของผมที่มีต่อพวกเขามากมายเหลือเกิน

ความรัก...หากคุณเคยมีรักคุณคงรู้ว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน เช่นเดียวกับในครั้งที่คุณได้สูญเสียมันไป

เรื่องที่ผมไม่ปรารถนาได้รับพรข้อนั้นจากคนอื่น..เพราะผมรู้ดีว่าผมไม่ได้มีค่าพอที่จะสามารถรับสิ่งมีค่านั้นเอาไว้ได้


วันนี้ทุกอย่างเงียบเหงาเหมือนที่เคยเงียบเหงา

ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มีใครรัก


ตรงกับครั้งหนึ่งที่เพื่อนในอดีตคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "สักวันมึงจะต้องอยู่คนเดียว"

.................