Sunday, October 29, 2006

ก้าวแรก...หลังจากที่ล้มลง

ทุกครั้งที่เรานั้นล้มลงสร้างความเจ็บปวดให้เราเสมอ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เราล้มลงไปสร้างความช้ำใจให้เรา จนบางครั้งเราไม่อยากที่จะลุกขึ้นยืน......บางครั้งเราอยากจะนอนอยู่อย่างนั้นต่อไป แต่ในเวลาไม่นานนัก...เรารู้ไม่ว่าจะยังไงเราก็ต้องลุกขึ้นยืน ในเมื่อเรามีขาที่จะยืน...เราก็ต้องยืน

เราไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้จากความสุข ความสุขไม่เคยได้สอนอะไรเรา แต่กับความทุกข์นั้นต่างกัน....ทุกครั้งที่เรานั้นผิดหวัง....ทุกครั้งที่เรามีน้ำตา...ทุกครั้งทีเรานั้นทุกข์...สิ่งเหล่านั้นให้บทเรียนกับเราเสมอ เป็นเราที่สามารถเรียนรู้ได้จากความทุกข์...มิใช่ความสุข กับการที่เรานั้นล้มลงก็เช่นกัน....ทุกครั้งมีเหตุผลเสมอ ทุกครั้งมีสาเหตุ อยู่ที่เรานั้นสามารถเรียนรู้กับมันได้หรือไม่ เราจดจำสาเหตุทุกครั้งที่ล้มลงได้หรือไม่....สำคัญที่สุดนั้น เรานำสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุงได้หรือไม่

เมื่อเราลุกขึ้นยืนหลังจากที่เราล้มลงเป็นเราที่ต้องก้าวเดินต่อไป เราไม่ใช่คนที่เดินไม่ได้ยังไงเราก็ต้องเดิน แน่นอนว่าคนที่ไม่สามารถเดินได้ยังอยากที่จะเดินต่อไป ทุกครั้งที่เรานั้นลุกขึ้นหลังจากที่เราล้มลง...หลังจากนั้นย่อมมีก้าวแรกที่เราจะต้องเดินต่อไป...

ขอเพียงเข้าใจ เพียงเราล้มลงไป...เป็นทุกครั้ง ทีเราสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้ทุกครั้ง

Thursday, October 26, 2006

หนังของเราเอง...

วันนี้เป็นวันเหงาๆวันหนึ่ง ไม่ถึงกับเศร้ามาก แต่ก็พอรู้ตัวว่า ตอนนี้เราอาจกำลังหลงทาง หลงทางในที่นี่คอ่นข้างแปลกนิดๆ คือหลงทางทั่วไปคือการที่เราสูญเสียเส้นทางที่ไปสู่จุดหมาย แต่หลงทางของผมคือ แม้แต่จุดหมายก็ยังไม่รู้ เดินทางเกือบทั้งวันในวันนี้ เป็นไปได้ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ วันนี้ออกไปจากห้องนานที่สุดตั้งย้ายเข้ามาอยู่ หนังสองเรื่อง ข้าวหนึ่งมื้อ
ด้วยความหวังว่า วันนี้อาจสลัดอารมณ์เบื่อๆอยากๆ ออกไปจากจิตใจได้ ก่อนออกไปมีคนอาสาไปส่ง เราบอกไม่เป็นไร วันนี้อยากเดินไปเรื่อยๆ อยากใช้ความคิด ไม่เกินสิบห้านาทีหลังออกจากที่พัก ตัวผมไปอยู่บนรถสามล้อแล้ว
.........................................
หนังเรื่องแรกทำให้งาวงนิดๆ ไม่อยากโทษหนัง อาจเป็นเพราะเรานอนน้อย หนังเรื่องที่สองทำให้โมโห เริ่มเสียดายทำไมไม่มาง่วงเรื่องนี้(เรื่องที่สอง) ยามที่เราอยู่ไกลบ้าน ที่ไหนก็แล้วแต่ ดูเหมือนจะแปลกสำหรับเราไปหมด สำหรับตัวผมเอง ดีที่สุดในตอนนี้คือ การที่ได้อยู่ไกลจากที่พัก ตอนนี้ผมเริ่มเหนื่อยๆ เหนื่อยเสียจนอาจป่วยได้ เพราะเวลาผมเครียดจัดๆมักจะป่วย เชื่อไหม เวลาที่ผมอารมณ์ดี ต่อให้มาจามรดหน้า ก็ป่วยยาก
ไม่นานหนังก็จบ ดูตามเวลาหกโมงกว่า ไม่อยากลับบ้าน ถามตัวเองเอาอย่างไรดี ไปดื่มเบียร์ หรือกลับไปเจออะไรเดิมๆ ในห้องที่เราอยู่
ยอมรับว่าสับสน...ทั้งที่รู้ว่าเมื่อเลือกไปดื่ม ความเหงาหงอยและความเศร้าอาจหายไป
สุดท้ายก็เลือกแบบเดิม...กลับมานอนที่ห้อง ให้มันรู้ไปว่า กะอีแค่เหงา มันจะทำให้คนตายได้
...........................................

Wednesday, October 25, 2006

หลังฝนตก...

มีคนบอกหลังฝนตกฟ้าย่อมใสเสมอ ผมเพิ่งคิดคำนี้แบบจริงจังหลังจากผ่านเรื่องไร้สาระที่สุดไปไม่นาน น่าแปลกเรื่องที่คนอื่นโกรธผมกลับไม่โกรธ แต่เรื่องที่คนอื่นไม่โกรธผมมักโกรธ ในชีวิตจริงผมมักคิดถึงเรื่องใหญ่ๆ มากกว่าจะลงรายละเอียด แต่ก็ไม่ได้เป็นทุกเรื่องเพราะเรื่องบางเรื่องกลับละเอียดซะจนลืมเรื่องใหญ่ๆ สรุปเอาเป็นว่าผมอธิบายแล้วงงเนอะ

ในตอนที่พวกคุณรู้สึกหวั่นไหวท้อแท้พวกคุณทำอะไรกันหรือ ของผมถ้ามันหนักๆ เลยนะ ผมนอนๆๆๆ และก็นอน หลายครั้งในช่วงเวลานี้ผมรู้สึกว่าผมปัญญาอ่อนแบบจริงจัง ผมมีอารมณ์ร่วมเกี่ยวกับพวกอินเตอร์เน็ต ก่อนหน้านี้ตลอดชีวิตของผม ผมไม่คิดหรอกนะว่าผมจะสามารถเข้าถึงมันได้ถึงขนาดนี้ อาจเป็นไปได้ว่าผมเป็นคนเครียดเกินไป


มีอย่างหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ได้เกี่ยวกับตัวผม คือผมไม่เคยเปลี่ยน ผมจริงจังกับทุกๆ เรื่องที่เข้ามาในชีวิต จนบางครั้งมันมากเกินไป มันทำให้เรารู้สึกเศร้าหดหู่และมีผลเสียต่อการดำรงชีวิต มีคนบอก เอาอารมณ์ของตัวเองไปขึ้นอยู่กับวิธีการดำรงชีวิตของผู้อื่นคงไม่ดีนัก ผมมาทบทวนแล้วคิดว่าคำกล่าวนี้น่าเชื่อถือพอสมควร สองสามวันแล้วที่ผมทำงานได้น้อยกว่าปกติ แต่ก็ไม่สำคัญหรอก เพราะดอกไม้บางอย่างมันออกดอกตามฤดูกาล การใช้สารเคมีเร่งมันให้ออกดอกตามที่เราต้องการคงไม่ดีนัก งานเขียนก็เหมือนกัน ช่วงนี้ผมรู้สึกเหมือนมันอยู่ในฤดูเหงา


ตื่นมาตอนเจ็ดโมงเช้า หลังจากที่เข้านอนตอนตีห้า ออกไปเดินเล่นแถวที่พักเพื่ออยากดูบางอย่างที่ไม่เคยเห็นในตอนกลางคืน เห็นคนรอบข้างในตอนเช้าจึงนึกขึ้นได้ว่าบางทีเราอาจแก่แล้ว เพราะมีแต่คนแก่ที่ใช้ชีวิตในตอนเช้าได้คุ้มค่าที่สุด หลายคนบอก

"อยากจีบคนสวยอย่าได้หวังจะเจอในรุ่งเช้า"

อาจจริงหรืออาจไม่จริงผมไม่แน่ใจนัก แต่เท่าที่เห็นในเช้านี้คงไม่มีคนสวยอย่างที่ว่า
พูดไปเรื่อยเปื่อย...จนลืมไปว่าเรากำลังพูดรื่องฝน

อากาศที่นี่บอกแล้วว่าเราจะไม่ได้เจอฝนอีกนาน...แปลกไหม พออยู่ด้วยกันกลับรำคาญ พอมันจากไปกลับคิดถึง พูดยังไม่ทันขาดคำลมหนาวก็โชว์พลัง พัดเอาใบไม้ใบหนึ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ามิใช่พื้นดิน เหมือนกับจะบอกว่ามีฉันอยู่แล้วแกยังคิดถึงมันอีกหรือ นี่ไง ฝนทำแบบชั้นได้ไหม ให้ใบไม้บินสวยงามในท้องฟ้า

เอาล่ะๆๆๆ...นี่เพิ่งเป็นหลังฝนตกห่าใหญ่ ฉันหวังว่าแกคงไม่ทำให้ฉันคิดถึงฝนเร็วนักล่ะ
ขอบคุณทุกคน...ที่ตามอ่านงาน
..........................................................................................

Monday, October 23, 2006

เลิกอ่านเถอะ...

ผมมันคนเลว...คนบอกไว้อย่างนั้น
ไม่ต้องเข้ามาอ่านแล้ว...พอแล้ว ผมอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอก
ผมจะอยู่แบบผม...พวกคุณก็อยู่แบบของคุณ

Friday, October 20, 2006

เรื่องของวันวาน...

กีตาร์นี่ปกติมันมีอยู่หกสาย ผมเคยเล่นกีตาร์ที่มีมากกว่าหกสายมันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าหกสายแต่อย่างใด ครั้งแรกที่ผมหัดเล่นกีตาร์เพราะว่ามันเหงา แม้คนในครอบครัวผมจะเยอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ต้องเหงานี่ ผมเป็นลูกคนสุดท้อง หลังจากที่พ่อเสียญาติของพ่อที่ไม่ชอบแม่คงมองว่าแม่คงลำบากที่จะเลี้ยงลูกหกคน สามคนที่ถูกขอเอาไปเลี้ยง คงเหลือแต่สามคนสุดท้ายที่เหลือ ผมเองก็มีคนขอเอาไปเลี้ยงแม่บอกว่าผมร้องไห้ไม่ยอมไปท่าเดียว น่าแปลกที่ผมจำตอนนี้ไม่ได้ ผมจำได้แต่เพียง ภาพบางภาพ ...มีทั้งสุขและมีทั้งเศร้า

ผมมักจะโดนตีอยู่บ่อยๆในตอนที่เป็นเด็กเพราะว่าผมซน แม่คงเครียดเรื่องการหาเงินเพื่อมาจุนเจือครอบครัว ผมไม่เคยโกรธแม่เลยแม้แต่ในตอนที่ผมโดนตี ทุกครั้งที่ผมโดนตีในตอนเด็กถึงผมเจ็บผมก็จะเข้าไปกอดแม่ไว้ บางครั้งแม่ก็ร้องไห้ตามผม ผมรู้ว่าแม่เหนื่อยแค่ไหนเวลามีคนมาทวงเงินที่บ้าน ผมเองก็เกือบไม่ได้เรียนหนังสือเพราะแม่ไม่มีเงิน น่าแปลกที่ผมเองก็ไม่ได้มีความอยากที่จะได้ไปเรียนเหมือนคนอื่นๆ ความจนนี่มันทำให้เราเข้าใกล้ไปกับชีวิตมากขึ้นทุกทีๆ ผมไม่อยากอ่านหนังสือหรืออยากดูหนังเป็นบางครั้งเพราะว่าคนเขียนมักมองข้ามเรื่องพวกนี้ไป ทั้งที่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ มันตลกไหม มีหนังสือหรือหนังกี่เรื่องที่บอกว่า เฮ้ยเครียดว่ะ อยากไปดื่ม แต่กูไม่มีเงินมึงเลี้ยงได้ไหม มีไหมที่พระเอกและนางเอกแม่งไม่มีเงินทั้งคู่ ถึงมีมันก็น้อยไง ผมไม่เข้าใจ


ครั้งหนึ่งที่แม่หนีออกจากบ้านไป ผมจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แต่คิดว่าเกือบปี ครั้งนั้นพี่สาวอีกคนก็ถูกรับไปเลี้ยงหายไปอีกหนึ่ง เหลือผมกับกับพี่คนที่สี่ ตอนนี้ผมจำได้ ผมไม่ยอมไป ผมจะรอแม่อยู่ที่บ้าน แม่แดงที่เป็นคนงานบ้านผมเก่าแก่ตอนนี้การเป็นคนเลี้ยงดูผมและพี่สาว แม่แดงเป็นแค่ภารโรง แกเองก็มีลูกสี่คนลำบากเพราะว่าต้องส่งเสียเรียนหนังสือ แต่ในทุกๆ วันแม่แดงต้องหาข้าวมาให้ผมกินและคอยกล่อมผมให้หลับในทุกๆ คืน ค่าไฟที่ค้างเอาไว้ทำให้บ้านผมไม่มีไฟฟฟ้าใช้ เป็นหน้าหนาวก็ต้องหนาว เป็นหน้าร้อนก็ต้องร้อน ครั้งหนึ่งแม่แดงบอกผมก่อนนอน เป็นเพราะพ่อผมฝากไว้ก่อนเสียขอให้ดูแลผมด้วยเพราะผมยังเด็ก ผมฟังแม่แดงอย่างตั้งใจ ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนจนกระทั่งตอนนั้น อย่างงี้แหละคนตายยังมาห่วงคนเป็น คนแบบนี้น่ารักนะ ตัวเองป่วยมากแล้วยังมาห่วงคนอื่น แม่แดงเอามือลูบหัวผมเบาๆในทุกคืน จะมีสัญญาณบอกว่าผมใกล้จะหลับแล้วคือ ผมจะถามแม่แดงว่า "แม่แดง แม่ผมจะกลับมาเมื่อไหร่" มักไม่มีคำตอบกลับจากแม่แดง มีเพียงแต่สัมผัสที่อ่อนนุ่มกว่าเดิม เหตุการณ์ที่แม่หนีไปในคราวนั้นทำให้ผมมองทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ผมเริ่มกลัวผู้คนแถวบ้าน ผมเดินไปไหนก็จะมีคนมองผมเหมือนตัวประหลาด พูดแต่เรื่องความเศร้าของชีวิตผม


วันหนึ่งในวัยเด็ก...แม่แดงกลับบ้านมาช้า ผมและพี่สาวหิวมากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร พี่สาววิ่งไปโขมยไข่ที่ร้านขายของชำแถวบ้านมาสามใบ โชคไม่ดีโดนเจ้าของร้านจับได้ แต่เจ้าของร้านไม่ได้ใจร้ายนักจึงให้น้ำมันกับถ่านมาด้วย เราสองคนพี่น้องถอดไข่กินอย่างเอร็ดอร่อย นานแล้วที่ไม่ได้กินไข่สามใบสองคน อย่างหรูที่สุดในตอนนั้นก็คือไข่คนละใบ เราเรียกร้องอะไรจากแม่แดงไม่ได้มากเพราะแม่แดงเป็นแค่ภารโรง เย็นวันนั้นหลังจากแม่แดงกลับจากที่ทำงานมาเห็นพวกเรากินไข่และรู้จากเจ้าของร้านจึงโมโหลูกของตัวเอง เพราะสั่งไว้ก่อนหน้านี้ว่าให้หาข้าวให้น้องกินด้วย เพิ่มความเกลียดชังให้กับความรู้สึกของลูกๆแม่แดงกับผมสองคนพี่น้องไปอีก จำได้วันนั้นแม่แดงไม่ได้ต่อว่าพี่สาวผม อาจเป็นไปได้ว่ามันร้องไห้ไปก่อนแล้วเพราะกลัวโดนตี แม่แดงมาหาพร้อมไข่สิบใบ บอกว่าถ้าหิวอีกให้ไปเซ็นไว้ก่อนเดี๋ยวแม่แดงจะไปจ่ายเอง


"พี่ว่าแม่จะกลับมาไหม"ผมถาม
"ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไรแล้ว" พี่สาวผมเสียงสั่นเครือตอบ
"ทำไมล่ะ ผมอยากไปเรียนหนังสือแล้ว คนอื่นเขาเข้าเรียนหมดแล้วนะ"
"คุณยายสมศรีบอกให้พี่ไปทำงานที่บ้านแล้ว คราวนี้เราก็จะมีข้าวมีน้ำกินแล้ว เรื่องโรงเรียนหยุดไปก่อนก็ได้"พี่ผมตอบ
"พี่ได้ทำงานบ้านคุณยายเหรอ คุณยายแกดุนะ ผมไปขอดูทีวีแกยังไม่ให้ดูเลย แกชอบดูแต่ข่าว"
"ถ้าเราอยากมีไข่กิน เราก็ต้องทำงาน เราจะได้ไม่หิวอีก"
"ทำไม ไม่มีใครที่เป็นพวกพ่อเรามาหาเราบ้าง"
"เราไม่ได้โทร ถึงโทรไปพวกนั้นก็คงไม่อยากมา คนพวกนั้นไม่ชอบแม่ เพราะว่าแม่เป็นคนไทย และคนพวกนั้นไม่ชอบเราเพราะว่าเราเลือกที่จะอยู่กับแม่"
"แล้วพี่ว่าเราเลือกผิดไหม"
"คำถามนี้แม่น่าที่จะเป็นคนตอบ เรานั้นไม่รู้หรอก"พี่ร้องไห้แล้ว
"พี่ร้องไห้ทำไม ผมยังไม่ร้องไห้เลย ผมรู้ว่าแม่จะกลับมา"
"แกว่า แม่จะกลับมาไหม"พี่สาวผมถาม
"พี่ถามเหมือนที่ผมถามพี่เลย"ผมหัวเราะ พี่สาวผมก็หัวเราะ ในคืนนั้นเราทั้งคู่หัวเราะกันสองคน ผมจำได้ว่าเป็นคืนวันศุกร์เพราะแม่แดงไม่ต้องไปทำงานในวันรุ่งขึ้น คืนนั้นบนเตียงมีกันอยู่สามคน ผม พี่สาวและแม่แดง เราคุยกันตอนที่แม่แดงหลับไปแล้ว วันนี้แม่แดงคงเหนื่อยเลยหลับไปก่อน ผมยังจำได้ในคืนนั้นผมกล่าวต่อ
"พี่ดูซิ แม่แดงหลับแล้วยังมีน้ำตาไหลออกมาอีก"


ไม่มีเสียงตอบรับใดจากพี่สาวและแม่แดง มีแต่การเคลื่อนไหวเล็กน้อย เป็นคนหลับที่เอามือมาปาดน้ำตาและโอบกอดผมและพี่สาวมาอยู่ที่อ้อมอก
................................................

เปลี่ยน...

ความรักสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความสงสารได้หรือไม่ แล้วความสงสารเล่าสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความรักได้หรือไม่ ข้าพเจ้าเพียงเข้าใจ ทรายสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นแก้วได้แต่แก้วไม่สามารถแปรเปลี่ยนกลายเป็นทรายได้ เราสามารถอยู่ร่วมกับคนที่ดีกับเรา รักเรา แต่เราไม่รักได้หรือไม่ นั้นคือคำถาม แน่นอนนั่นเป็นคำถามที่ยากที่จะตอบ บางทีเราอาจตอบคำถามได้ง่ายกว่านี้ถ้าเปลี่ยนคำถามเป็นว่า เราสามารถรอคนๆหนึ่งได้ชั่วชีวิตได้หรือไม่ ถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่เรารัก เป็นคนที่มอบหัวใจให้ ทุกคืนทุกวันที่ผ่านไปย่อมยาวนาน แน่นอนว่าว่าหัวใจของคนเรานั้นสีแดงเสมอ คนทุกคนรู้ว่าอะไรก็ตามที่เข้าไปอยู่ในหัวใจนั้นยากที่จะลืมเลือนเสมอ

ถ้าเป็นลมหนาวที่พัดผ่านมาย่อมให้ความรู้สึกหนาว คงไม่มีทางที่จะรู้สึกเป็นอย่างอื่น แต่ถ้าเป็นลมร้อนที่ผ่านมาแล้วรู้สึกหนาว บางทีเราอาจไม่ได้บ้า บางทีอาจเป็นเพราะว่าเราป่วย

Thursday, October 19, 2006

ถ้อยคำจากดวงดาว...

อากาศที่นี่ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว บางคนชอบฤดูหนาวเพราะชอบที่จะนอนหลับอยู่ในผ้าห่มหรือในอ้อมกอดของใครสักคน แต่ข้าพเจ้ากลับตรงกันข้าม ในคืนที่มีอากาศที่ดีหรือเป็นคืนที่มีบรรยากาศที่ดีให้เชยชม ข้าพเจ้ามักจะอยู่กับมันนานๆและไม่ยอมที่จะนอนหลับ บางทีถ้าอากาศดีจริงๆอาจเป็นถึงรุ่งเช้ากว่าจะได้นอน เป็นเพราะว่าข้าพเจ้าเสียดายเวลาที่ดีเหล่านั้น การที่เราหลับไปคล้ายกับว่าเป็นการมองข้ามไป ข้าพเจ้าไม่สามารถละทิ้งช่วงเวลาเหล่านี้ได้ ท่ามกลางบางคืนที่เหน็บหนาว เรามักมีใครคนหนึ่งให้คิดถึงเสมอ ในคืนที่เราอยู่เดียวอาจทำได้ดีที่สุดคือกอดตัวเองแล้วคิดถึงใครสักคน บางคนทำได้เพียงแค่นี้

ดวงดาวตอนกลางคืนนั้นเป็นที่ข้าพเจ้าว่าสวยงาม ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าคนทั่วไปก็ว่างดงามเช่นกัน หลายคนที่ชอบมองการปรากฏตัวของดวงดาว มีคนบอกช่วงเวลาที่ท้องฟ้าสวยงามที่สุด คือช่วงเวลาที่ดวงดาวเต็มท้องฟ้าและจดจำในช่วงเวลาที่มันงดงามที่สุด คนจึงชอบดูดวงดาวในคืนที่ฟ้ามืดมิด แต่กลับบางคนไม่ใช่เช่นนั้น บางคนชอบดูการลาจากไปของดวงดาว เพียงเพราะว่าอยากย้ำเตือนใจตัวเอง อยากเข้าใจกับดวงดาว มีมาก็ต้องมีไป คนที่เป็นเช่นนี้จะเฝ้ารอดวงดาวปรากฏและเฝ้ารอจนกว่าดวงดาวลาจากลับ คนประเภทนี้จึงเข้าใจ ความงามไม่คงทน

การลาจากของดวงดาวสอนอะไรเราได้บ้าง...เป็นไปได้ไหม เพราะว่ามันเป็นดวงดาวที่งดงามสวยค้างอยู่ที่บนท้องฟ้า มันจึงไม่อาจเคียงคู่เราได้ เรายืนอยู่บนดิน กับความงามบางครั้งได้แค่ดู บางครั้งได้แค่มอง สิ่งที่ดวงดาวคอยย้ำเตือนเรา เวลามองไปที่ดวงดาวต้องแหงนหน้าไปบนท้องฟ้า ที่สำคัญต้องรู้ว่ามือเอื้อมไม่ถึงได้ มีแต่เพียงก้อนหินเท่านั้นที่เราสามารถก้มลงเก็บได้

น่าแปลกที่คนก็ยังมักเลือกที่จะมองดวงดาวเพราะว่ามันสวยงาม ในขณะเดียวกันผู้คนเหล่านั้นก็ไม่รู้ตัวเลยเช่นกันว่า ก้อนหินที่อยู่รอบกายเรานั้น มันก็จ้องมองเราอยู่ในขณะเดียวกัน

สิ่งที่ดวงดาวและก้อนหินบอกเรา...สะท้อนไปถึงความรัก ดวงดาวอาจเป็นคนที่เราไม่อาจเอื้อม ก้อนหินอาจเป็นคนที่เราควรกลับไปคิดถึง

มันดีจริงหรือ...กอดคนที่ไม่ได้รักเรา

........................................................

Wednesday, October 18, 2006

ส่วนเกิน...

คุณเคยไหมที่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้.....เป็นคนที่สามหลังจากที่สองคนแรกจับไม้แบดไปแล้ว เป็นคนที่ห้าหลังจากที่สี่คนแรกล้อมวงเล่นรัมมี่ไปแล้ว เป็นคนที่สิบเอ็ดหลังจากที่สิบคนแรกเริ่มเล่นฟุตบอลข้างละห้าคน เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้วคือต้องรอ ทั้งหมดที่ผมกล่าวขึ้นข้างต้นคือเหตุการณ์ที่เราเป็นส่วนเกิน ผมเองบ่อยครั้งในตอนเด็กมักจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ หลายครั้งที่น้อยใจกับโชคชะตา หลายครั้งที่น้อยใจกับเพื่อน ในตอนนั้นผมเพียงเข้าใจว่าเมื่อเรามีทีมฟุตบอลสิบเอ็ดคน...เราก็สามารถนำทีมของเราไปแข่งกับทีมที่มีสิบเอ็ดคนอีกทีมหนึ่งได้เช่นกัน ผมเข้าใจว่าเมื่อเวลาผ่านไปคนที่แพ้ต้องเป็นคนที่ออกมาดูเพื่อนเล่นบ้าง....แต่กลับไม่ใช่ ในวัยนั้นทุกคนอยากสนุก เวลาผ่านไป...ผมจึงเข้าใจว่าการเป็นส่วนเกินก็มีข้อดีข้อหนึ่ง การเป็นส่วนเกินสอนให้เรารู้จักรอ รู้จักคิด รู้จักการมีน้ำใจ

ไม่นานนักปัญหาที่เกิดขึ้นก็แก้ได้ เมื่อผมได้มีโอกาสได้เป็นหนึ่งในสิบคนแรกของการเล่นฟุตบอล สายตาของผมไม่ได้เพียงแค่เห็นคนเพียงสิบคนที่อยู่ในสนาม ผมเห็นคนที่สิบเอ็ดที่อยู่ข้างสนามด้วย เป็นครั้งแรกที่ส่วนเกินไม่ใช่ส่วนเกินอีกต่อไป...คนที่สิบเอ็ดก็สามารถเล่นได้ถ้าหนึ่งในสิบคนรู้จักการเสียสละ การเป็นส่วนเกินในลักษณะนี้สามารถแก้ไขได้.....แต่ส่วนเกินอีกชนิดหนึ่ง

ส่วนเกินในความรัก....คนที่เคยเป็นส่วนเกินชนิดนี้มักมีทุกข์ ทุกข์ที่เกิดส่วนมากจะเจ็บปวดเป็นเพราะว่ามันเกิดที่หัวใจ รักคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว....รักคนที่เราไม่สามารถรักได้ คนที่เป็นส่วนเกินในลักษณะนี้นั้นยังไม่ทุกข์เท่าคนที่เป็นส่วนเกินอีกชนิดหนึ่ง

ส่วนเกินที่ว่านี้นั้นเจ็บปวด...จากคนที่รักกันกลายเป็นส่วนเกินของคนที่เรารัก ที่เกิดขึ้นได้เพียงเพราะว่ามีคนที่ทำให้เรากลายเป็นส่วนเกิน

ไม่ใช่เรื่องของการมีน้ำใจที่ให้เขาเข้ามาแทนที่....แต่เป็นเพียงเพราะว่าเราเป็นส่วนเกิน

Monday, October 16, 2006

คืนหนึ่งในฤดูหนาว...

คุณจำรักที่เป็นครั้งแรกของคุณได้ไหม ผมจำได้และผมก็เชื่อว่าทุกๆคนจำได้ รักครั้งแรกของผมจริงๆเกิดขึ้นตอนเรียนอยู่ปีหนึ่ง ถึงตอนนี้มันยังไม่ไปไหนมันยังคงฝังอยู่ในใจ คุณรู้ใช่ไหม ตอนที่เรากำลังลุ้นความเป็นไปได้ของการที่คบกันนี่เป็นอะไรที่ตื่นเต้นที่สุด คุณเป็นไหม หัวใจเต้นแรง ฟังเพลงอะไรก็ดูมันสวยงามเพราะซะเหลือเกิน ไม่มีความเร่งรีบร้อนรนในชีวิตเป็นเพราะว่าในใจเราอบอุ่น การที่จะมีใครสักคนเข้ามาในหัวใจนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ผมคิดว่าหลายคนอาจจะชอบคนง่ายแต่เรื่องการที่จะหลงรักใครสักคนมักจะเป็นเรื่องยากอยู่เสมอ ง่ายๆนะ ในชีวิตคนสักคนหนึ่งอาจจะเคยอกหักสักห้าครั้ง แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าเวลาคุณเศร้าเสียใจจะมีคนถึงห้าคนที่ทำให้คุณนึกถึง เรามักมีคนพิเศษอยู่หนึ่งเดียวในใจเราเสมอ เป็นได้ไหมเพราะว่าใจเรามีดวงเดียว
รักครั้งแรกเกิดขึ้นในฤดูหนาวเหมือนกับในหนัง เธอคนที่ผมเล่าให้คุณฟังนี่เรียนอยู่ปีเดียวกับผมแต่คนละที่ ผมเรียนวิศวะเธอเรียนบัญชีเป็นแฟนเพื่อนผมที่แนะนำให้รู้จัก เคยเป็นใช่ไหมเจอกันครั้งแรกก็ชอบเลย เชื่อไหมตอนเจอเธอในช่วงแรกๆเป็นทุกครั้งที่หัวใจผมเต้นแรงมากๆ คล้ายกับมันอยากจะออกมาเห็นหน้าเธอให้ได้ เธอดูไม่สนใจผมนักในช่วงแรกๆที่เจอกัน แน่นอนเพราะคนจีบเธอเยอะเธอมีทุกอย่างที่ผู้หญิงสวยคนหนึ่งจะมีได้ การแข่งขันจึงสูง ผมมักไม่ชอบต่อสู้กับใครนัก ผมไม่ชอบการแข่งขัน ผมว่าการอยู่เงียบๆนี่มันก็ดี ถ้าใช่ก็คือใช่แหละนะ
ผมอาจไม่เก่งเรื่องการรบนัก แต่ผมเป็นนักวางแผนที่ดี หลังจากที่ผมได้เบอร์เพจเธอมาจากแฟนของเพื่อนผม ผมเพจไปหาเธอครั้งแรกผมยังจำได้ผมบอกเธอว่าผมไม่ได้หวังสิ่งใด ผมรู้ทุกอย่างต้องใช้เวลา
ผมบอกเธอ...ผมจะเพจไปหาเธอหนึ่งหมื่นครั้ง เป็นทุกครั้งผมจะลงหมายเลขไว้ เช่น "ครั้งที่124คุณรู้ไหมว่าวันนี้ผมเรียนเรียนแคลคูลัสไม่รู้เรื่องเรื่องเลย ผมต่อต้านมัน เพราะผมคิดว่าเป็นครั้งแรกที่คณิตศาสตร์ไม่สามารถนำมาใช้กับชีวิตได้ในบางส่วน ผมหงุดหงิดแต่ก็ยิ้มนะ แล้วคุณล่ะเรียนรู้เรื่องไหม ใจหนึ่งก็อยากให้คุณเรียนรู้เรื่อง อีกใจหนึ่งผมอยากให้คุณเรียนไม่รู้เรื่องเหมือนที่ผมเป็น เพราะว่าผมเรียนไม่รู้เรื่องเพราะมัวแต่คิดเรื่องของคุณ"
ในครั้งแรกที่ผมบอกเธอไปในเพจ...ผมบอกผมจะเพจหาเธอหมื่นครั้ง ไม่ได้หวังให้เธอมารักผม ผมขอเพียงแค่ว่าเมื่อครบหมื่นครั้งผมขอเดทเธอสักครั้งหนึ่ง อย่าเพิ่งตอบรับหรือปฏิเสธ รอดูก่อนว่าผมจะทำได้ไหม ถ้าผมทำได้จริงแล้วเธอค่อยคิดว่าสมควรไหมที่จะเดทกับผมสักครั้ง
ในช่วงนั้นผมมีเศษตังค์ไม่ได้เป็นต้องวิ่งเข้าตู้โทรศัพท์ทุกครั้ง วันๆเอาแต่คิดข้อความที่จะส่งให้เธอ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมไม่ค่อยสนใจในการเรียนนัก
........................................................
"ครั้งที่4404 วันนี้ผมป่วยนะมากๆเลย คุณดูแลตัวเองด้วยใกล้สอบแล้ว อากาศตอนนี้หนาวมากผมไม่รู้จะขอบคุณผ้าห่มยังไงดี ผมรอแม่กลับบ้านก่อนแล้วผมจะเข้านอนนะ ขอโทษที่วันนี้ผมไม่ได้เพจไปหาเลย บางทีคุณอาจจะเหงา" ผ่านไปเป็นเดือนเป็นทุกวันที่ผมเพจไปหาเธอ ไม่เคยเลยสักครั้งที่เธอจะโทรกลับมา ผมก็ไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่านั้น แค่มีใครสักคนให้คิดถึงก่อนนอนน่าจะเพียงพอกับความสุขเล็กๆในชีวิตหนึ่ง บางครั้งเราฝันไปไกลถึงดวงดาวไม่ได้ ถ้าเราไม่พยายามจะไป ความสุขของผมในตอนนั้นไม่จำเป็นต้องได้ครอบครอง แค่ได้มองไกลๆก็มีความสุขแล้ว ผมคิดแค่นั้นจริงๆ
ผมจำได้วันั้นผมป่วยมากและเป็นครั้งแรกที่ผมเพจไปหาเธอแค่ครั้งเดียวเพราะปกติต้องเป็นสิบครั้ง บางวันห้าสิบครั้งก็มี ประมาณสี่เดือนได้ที่ผมเพจไปหาเธอ ก่อนเข้าฤดูฝนจนผ่านเข้าฤดูหนาว คืนนั้นเป็นคืนที่หนาวนะ แต่ก็เป็นช่วงที่ผมฟังเพลงอะไรก็เพราะ แค่จินตนาการว่ามีคนรักสักคนก็พอสร้างความอบอุ่นในใจได้แล้ว ผมพอใจเพียงแค่นี้จริงๆ
คืนนั้นผมอยากนอนมากแต่เป็นเพราะแม่ยังไม่กลับบ้าน ผมจึงยังไม่อยากนอน ผมรู้ว่าแม่ทำงานเหนื่อยเพื่อให้ผมมีความสุข เพราะฉนั้นเป็นทุกคืนที่ผมต้องขอบคุณแม่โดยวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่ผมสามารถทำได้และไม่เกินตัว กอดแม่และหอมแก้มทุกครั้งก่อนนอน ผมกลายเป็นลูกแหง่แม่บอก แม่ชอบบอกผมยิ่งโตยิ่งเด็ก คุณรู้ไหมการกอดแม่นี่มันดีที่สุดในโลก เพราะว่าคุณจะไม่สามารถรับการตอบรับด้วยการกอดกลับครั้งไหนที่จริงใจมากไปกว่านี้ ไม่มีใครในโลกที่กอดคุณด้วยความรักมากกว่าแม่คุณหรอกนะ
คืนนั้นผมมีผู้หญิงสองคนให้คิดถึง...คนแรกผมเพจไปหาเธอแล้ว คนที่สองแต่เป็นคนแรกสำหรับผมเสมอ ผมไม่กล้าโทรไป ผมกลัวเธอมีความสุขอยู่ ผมไม่กล้ารบกวนใครเวลาที่คนๆนั้นมีความสุข
มองนาฬิกาห้าทุ่มสองนาที ปลอบตัวเองตอนกลางคืนจะหนาวยิ่งกว่านี้นะ เตรียมตัวให้ดี
........................................................
ห้าทุ่มสิบเอ็ดนาที...เลขหนึ่งสี่ตัว มีเสียงโทรศัพท์มากริ่งดังแค่สองครั้งผมรับ ปลายสายกล่าว"กินยาแล้วหรือยัง เป็นอะไรมากไหม" นั่นคือประโยคแรกหลังจากที่ผมทักทายเธอไปครั้งแรกเมื่อประมาณสี่เดือนก่อน
ผมยิ้ม...ป่วยหนักกว่านี้ก็ได้ เพราะว่าเสียงนี้รักษาให้หายได้ หลังจากวันนั้นหน้าหนาวก็หายไปเพราะว่ามีคนมาสุมไฟในหัวใจให้อบอุ่นแล้ว
........................................................

Sunday, October 15, 2006

เสียงเรียกในตอนเช้า...

ในชีวิตของข้าพเจ้าความรู้สึกแรกหลังการตื่นนั้นสำคัญมาก ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเหงาจะเหงาทั้งวัน คล้ายยึดถืออารมณ์แรกหลังการตื่นเป็นตัวกำหนดอารมณ์ของวันนั้นๆ ถ้าจับเอาอารมณ์ในแต่ละวันมาทำกราฟ ข้าพเจ้าเชื่อว่ากราฟอารมณ์เหงาจะเป็นกราฟแท่งที่สูงที่สุด วันนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกับวันที่ผ่านมาในชีวิตมากนัก เพียงแต่รู้สึกหนักกว่าเดิมนิดหน่อย ข้าพเจ้ารู้สึกว่า มีทั้งเหงาและเศร้าปนกัน
ข้าพเจ้าออกเดินทางเพียงเพราะว่าข้าพเจ้าอยากลืมชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมา ลืมทุกอย่างและทิ้งทุกสิ่ง เป็นข้าพเจ้าเลือกที่จะไม่มีเพื่อนเป็นสิ่งที่มีชีวิต เพื่อนที่ข้าพเจ้าเลือกคือสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปมองว่ามันไม่มีชีวิต
บางคนกลัวความเหงาแต่ข้าพเจ้ากลับไม่กลัว ยามที่ข้าพเจ้าร้องไห้อย่างน้อยก็มีมันที่อยู่เป็นเพื่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำได้ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าข้าพเจ้าจะมีเพื่อนเป็นความเหงาได้ ข้าพเจ้าบ่นถึงคนอื่นเสมอกับความเหงา ความเหงาก็รับฟังโดยดีโดยไม่มีปริปากบ่น บางครั้งข้าพเจ้าหัวเราะข้าพเจ้ารู้สึกมันก็พลอยดีใจกับข้าพเจ้าไปด้วย คนทั่วไปมักกลัวความเหงาเพียงเพราะว่าความเหงามักทำให้คิดถึงสิ่งที่มีชีวิต จริงๆแล้วข้าพเจ้าก็กลัว กลัวที่ว่าวันหนึ่งข้าพเจ้าจะกลับไปคิดถึงสิ่งที่มีชีวิตอีก
เพื่อนและสิ่งที่จากมามักจะมาเยี่ยมเยือนข้าพเจ้าเสมอภายในฝัน นี่คือสาเหตุว่าทำไมข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยสดชื่นนักหลังการตื่น เกือบปีหนึ่งแล้วที่ข้าพเจ้าจากบ้านมา เหมือนข้าพเจ้าจะรับมือกับมันได้ดีแล้ว แต่เหมือนในทุกๆวันจะมีบทเรียนใหม่ๆมาเสมอ
หมอบอกคนป่วยต้องรักษา...จำเป็นต้องใช้ยา
ยาของข้าพเจ้า...สุรา
คนว่าข้าพเจ้าดื่มเหมือนคนอยากตาย ข้าพเจ้ายิ้มรับเป็นเพราะว่าข้าพเจ้ามีแผนการไว้ ข้าพเจ้าไม่อยากอยู่บนโลกนี้นานนัก ไม่ได้บ้าไปเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ได้บ้าเพียงเพราะไปจมปลักกับความผิดหวัง บางครั้งคนเรามีทางเลือกหลายวิธีแต่ก็เป็นหลายครั้งที่เราเลือกวิธีที่ผิด สุราทำให้ข้าพเจ้าแยกกับความเหงาชั่วคราว สุราทำให้ข้าพเจ้าตัดขาดจากภาพในอดีตได้ชั่วคราว ข้าพเจ้ารู้มันเป็นมายาแต่ข้าพเจ้าก็เลือกมัน
ข้าพเจ้าที่ทราบ...คนเราฝันยังไงก็ต้องตื่นมาพบความจริง หลับไปนานยังไงก็ต้องตื่น
สิ่งที่ข้าพเจ้าเพียงต้องการ...ในสิ่งที่ข้าพเจ้าเข้าใจ บางครั้งการทำร้ายร่างกายตัวเองให้ทรุดโทรมโดยการดื่มในแต่ละวัน นี่เป็นวิธีหนึ่งที่จะลาจากจากเพื่อนที่เป็นความเหงาได้ชั่วคราว อย่างน้อยสุราก็สอนให้ข้าพจ้าเข้าใจอย่างหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดอยู่เป็นเพื่อนกับเราได้ตลอดกาล แม้แต่ตัวมันเอง
วันนี้...ข้าพเจ้าดื่มในตอนเที่ยง วันนี้ข้าพเจ้าอยากมีเพื่อนเป็นสุรา มิใช่ความเหงา
เห็นคนเดินผ่านไปมา...ข้าพเจ้าพึงพอใจ อย่างน้อยก็ยืนยันว่าข้าพเจ้าอยู่บนโลกมนุษย์
.................................................

ผู้หญิงในฝัน...

หลายครั้งแล้วที่ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาแล้วรับรู้ว่าความรู้สึกที่ข้าพเจ้านั้นได้รับมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนั้น เป็นความรู้สึกที่ได้มาจากความฝัน หลายคนเสียใจ หลายคนที่เสียดาย แต่กับข้าพเจ้าแล้วไม่ ข้าพเจ้าใจอย่างน้อยนั้นก็คือความสุข แม้จะเกิดขึ้นในขณะที่หลับก็ตาม

ความฝันของข้าพเจ้าเมื่อคืนนั้นเป็นความฝันที่ดีเยี่ยม อย่างน้อยก็เป็นฝันที่ทำให้ข้าพเจ้ายิ้มได้แม้ในขณะที่ข้าพเจ้ามีน้ำตา แม้ว่าจะเป็นฝันเดิมๆแต่ก็สามารถทำให้ข้าพเจ้ามีรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าฝันถึง ในฝันของข้าพเจ้าเมื่อคืนนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่างแต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าสามารถจำได้

ในฝันของข้าพเจ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในนั้น เป็นคนที่ข้าพเจ้ารู้จักยิ่งและเป็นคนที่ข้าพเจ้ารัก หลายครั้งที่คนเราไม่สามารถตักตวงความรู้สึกได้เต็มที่จากความฝัน เพียงเพราะว่าไม่รู้ว่านั่นคือฝัน แต่ข้าพเจ้านั้นแตกต่างออกไป ข้าพเจ้ารู้ทุกครั้งว่านั่นคือความฝัน และเป็นทุกครั้งที่ต้องลาจากความฝันนั้นเพียงเพราะว่าข้าพเจ้านั้นรู้ว่านั้นคือความฝัน ความสุขของข้าพเจ้านั้นก็เลือนหายไปจากความฝันนั้น ทั้งหมดก็เพราะว่าข้าพเจ้าทราบในชีวิตจริงผู้หญิงที่ข้าพเจ้าเห็นในความฝันไม่มีทางที่จะอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าเช่นในฝัน

ข้าพเจ้าทราบไม่มีทางที่ข้าพเจ้าจะเจอเธอในชีวิตจริง ข้าพเจ้าทราบเพียงเพราะว่าข้าพเจ้าเข้าใจ มีเพียงทางเดียวที่ข้าพเจ้าสามารถได้เจอเธอ ทางๆนั้นคือฝัน ในตอนนี้ข้าพเจ้าทราบเพียงข้าพเจ้าอยากมีความสุขข้าพเจ้าต้องพยายามฝัน รอยยิ้มจากความฝันเมื่อคืนยังคงเปื้อนอยู่ที่หน้าของข้าพเจ้า ภาพของผู้หญิงคนนั้นยังคงปรากฏอยู่ในหัวของข้าพเจ้า ภาพของเธอในฝันนั้นช่างสวยงามมากมาย

เป็นข้าพเจ้าที่ทราบ...เพราะในชีวิตจริงเธอนั้นไม่มีทางเป็นได้แบบในฝัน

Saturday, October 14, 2006

สิ่งที่มองเห็นได้จากน้ำตา . . .

วันนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากวันอื่นมากมายนัก แต่ก็รู้ได้ว่าแตกต่าง เป็นความรู้สึกของความข้าพเจ้าที่เปลี่ยนไป เพลงที่เคยฟังแล้วหัวเราะ แต่ในวันนี้กลับมีน้ำตา ภาพที่เคยเห็นแล้วมีรอยยิ้ม แต่ในวันนี้กลับหม่นหมอง ทั้งที่เป็นภาพเดิมๆ เพลงเดิมๆ เวลาผ่านไปกลับทำให้ความรู้สึกเปลี่ยน ข้าพเจ้าหวังเพียงว่าเมื่อเวลาผ่านไปเวลาจะช่วยคืนความรู้สึกให้ข้าพเจ้าดังเดิม

เพียงเพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นในเวลา ข้าพเจ้าเชื่อ เวลาช่วยได้ในทุกๆสิ่ง ท่านอาจเป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ ข้าพเจ้าก็เช่นกัน ในวันนี้ความรู้สึกของข้าพเจ้อ่อนแอนัก ข้าพเจ้ามีน้ำตาให้กับผู้แต่งเพลงคนหนึ่งที่แต่งเพลงได้เหงายิ่งนัก เศ้รายิ่งนัก เป็นเพราะข้าพเจ้าที่รู้ว่า คนที่เคยเห็นหิมะย่อมอธิบายหืมะได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยเห็น ข้าพเจ้าทราบผู้แต่งเพลงๆ นี้ก็เช่นกัน

ในความรู้สึกที่อ่อนแอในวันนี้กลับทำให้ข้าพเจ้ามีความรู้สึกที่อ่อนโยน ความอ่อนแอในวันนี้กลับทำให้ข้าพเจ้ารู้ซึ้งถึงความอ่อนโยน ในวันนี้กลับทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นในสิ่งที่ข้าพเจ้ามองข้ามไปในวันที่ผ่านมา

แมวตัวโตข้างบ้านที่ชอบปั่นอารมณ์ข้าพเจ้าโดยการมาแอบกินข้าวที่ข้าพเจ้าเตรียมให้หมาของข้าพเจ้า เป็นทุกครั้งที่ข้าพเจ้าโกรธ ในวันนี้กลับเปลี่ยนไป เป็นข้าพเจ้าที่เข้าใจมันในวันนี้ ข้าพเจ้าเองก็ถูกทอดทิ้งเช่นเดียวกับมัน กับหมาของข้าพเจ้าที่ชอบเข้ามาเล่นกับข้าพเจ้าในทุกๆครั้งที่มีโอกาส วันนี้มันก็ยังไม่เปลี่ยน แต่ข้าพเจ้าเปลี่ยน

ในวันนี้ข้าพเจ้ากลับไม่หงุดหงิดกับมัน กลับเป็นข้าพเจ้าที่เข้าใจมัน มันเองไม่เคยที่จะย่อท้อที่จะแสดงความรักกับคนที่เฉยเมยกับมัน เฉื่อยชากับมัน มันเองยังเชื่อว่าการแสดงออกสิ่งที่มันรู้สึกเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อย่างน้อยมันก็ไม่ได้โกหกความรู้สึกตัวเอง มันพร้อมที่จะโดนผลักออกมาสักสีบครั้งเมื่อเล่นกับข้าพเจ้า แต่ครั้งที่สิบเอ็ดเมื่อข้าพเจ้ากอดมัน มันก็พอใจ

ในสิบครั้งที่ข้าพเจ้าผลักมัน ข้าพเจ้าทราบมันเจ็บปวด เพียงครั้งเดียวที่ข้าพเจ้ากอดมันกลับทำให้มันลืมทุกอย่างที่ข้าพเจ้าเคยทำมา รักของมันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แล้วข้าพเจ้าเล่า?

............................................................................
คืนนี้กลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เป็นข้าพเจ้าที่ได้อยู่กับเพื่อนและคนรักของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าหนึ่ง แมวตัวอ้วนพีหนึ่ง หมาหนึ่ง
เราทั้งสามนอนด้วยกัน
เป็นเพราะท้องฟ้าที่มืดมิดจึงได้เห็นดาวที่สวยงาม



...........................................................................


Friday, October 13, 2006

หนังสือที่ไม่ได้เปิดอ่าน
......................
ที่บ้านของผมนั้นมีหนังสือมากมายหลายพันเล่ม หลายเล่มในหลายพันเล่มนั้นผมยังไม่เคยได้อ่าน บ้างเพียงเพราะว่ามีหนังสือเล่มอื่นที่น่าสนใจกว่า บ้างเป็นเพราะว่าเกิดไม่อยากอ่านขึ้นมาซะเฉยๆ
.......................
หนังสือหลายเล่มในหลายพันเล่มของผมนั้นจึงกลายเป็นหนังสือที่ไม่ได้อ่านไป พอนานไป...นานไป...ก็กลายเป็นว่าเป็นหนังสือที่ถูกลืม ความสวยงามของห้องหนังสือของผมนั้น(มีหลายคนที่ชม)หนึ่งในองค์ประกอบนั้นคือหนังสือที่ผมไม่ได้อ่าน หนึ่งในนั้นคือหนังสือที่ถูกผมลืม
..................
ในไม่กี่วันนี้ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเข้าใจคำว่าถูกลืม การที่เรานั้นถูกลืมเป็นความเจ็บปวดชนิดหนึ่งและเป็นความเจ็บปวดที่สามารถเชื้อเชิญน้ำตามาเป็นแขกรับเชิญได้ ความเจ็บปวดชนิดนี้ติดหนึ่งในชาร์ตสิบความเจ็บปวดตลอดกาลของชมรมคนสิ้นหวัง
....................
ถึงในวันนี้ผมจึงเข้าใจความรู้สึกของการที่ถูกลืม ต้องหมดตัวถึงเข้าใจคนจน ต้องขาขาดถึงเข้าใจคนพิการ ต้องเป็นคนที่ถูกทิ้ง จึงจะเข้าใจคนที่ถูกทอดทิ้ง ...สิ่งเหล่านี้มองเห็นได้จากน้ำตา
....................
น้ำตาทำให้ผมมองเห็นในสิ่งที่ผมไม่เคยมองเห็นมาก่อน น้ำตาทำให้ผมมองเห็นในสิ่งที่ผมมองข้ามไป ในตอนนี้ผมเปิดหนังสือเล่มหนึ่งอ่าน
...........................
เป็นหนังสือหนึ่งเล่มในหลายเล่มของหลายพันเล่มที่ผมมี
........................

Thursday, October 12, 2006

ภาพที่ไม่ได้วาดด้วยดินสอ

ตั้งแต่เด็กข้าพเจ้านั้นชอบรูปถ่ายที่เป็นสีขาวดำ และตอนนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนั้น เป็นภาพขาวดำที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ ภาพเหล่านั้นมักจะพกพาความรู้สึกเหงามาให้ข้าพเจ้าเสมอแต่ก็ไม่ลืมที่จะพกพาความอบอุ่นมาด้วย “เหงาแต่อบอุ่น” ข้าพเจ้าชื่นชอบความรู้สึกนั้น
-----------------
รูปถ่ายทหารที่กำลังถือปืนยืนเฝ้าป้อมปราการในขณะที่เด็กสองสามคนกับลังวิ่งเล่นอยู่ข้างหน้ายังคงติดอยู่ที่ข้างฝาในห้องนอนของข้าพเจ้าอย่างสงบนิ่ง ข้าพเจ้าชื่นชอบรูปภาพนี้เป็นพิเศษ ภาษาทางสายตาที่ทหารผู้นั้นแสดงออกบ่งบอกความรู้สึกของภาพนั้นได้เป็นอย่างดี สายตาที่ล่องลอยไปโดยไร้จุดหมาย เครื่องแบบท่าทางที่ขึงขังบอกความรู้สึกที่เข้มแข็งและตึงเครียด ปืนก็ยังคงเป็นปืนแม้ไม่มีลูกกระสุนแต่ก็มีรัศมีแห่งความโหดร้าย เด็กที่กำลังวิ่งไล่จับกันเบื้องหน้าบ่งบอกถึงความรู้สึกที่อ่อนโยนและความสนุกสนาน มีความแข็งกร้าวและอ่อนโยนในภาพเดียวกันแต่กลับสายตาของทหารผู้นั้นกลับแตกต่างออกไป สายตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความล่องลอยและบ่งบอกถึงความอ้างว้างในเวลาเดียวกัน ในสายตาคู่นั้นมีอดีตอยู่ บางทีในสายตาคู่นั้นอาจมีคนๆหนึ่ง ไม่ใช่สายตาที่มองเห็นคนแต่เป็นคนในสายตา
.............
ในตอนนี้ภาพในสายตาของข้าพเจ้าเป็นภาพที่มีสีฟ้าเป็นผืนผ้าใบโดยถูกละเลงโดยสีขาว เป็นท้องฟ้าที่ถูกบดบังด้วยเมฆในตอนนี้ แต่เมฆในตอนนี้มิได้ทำให้ท้องฟ้างดงามน้อยลงเลยบางทีอาจกลับทำให้สวยขึ้นกว่าเดิม บางทีผู้หญิงที่เปลื้องผ้าหมดอาจงดงามน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้เปลื้องผ้า ภาพเมฆที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าในตอนนี้เหมือนกำลังประกวดนางงามเมฆ เมฆก้อนแล้วก้อนเล่าล่องลอยผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ข้าพเจ้าหลับตาแล้วพยายามนึกถึงภาพเหล่านี้ในโทนสีขาวดำ เพียงข้าพเจ้าอยากทราบความงดงามในตอนนี้สามารถถูกเปลี่ยนแปลงความรู้สึกไปได้ด้วยสีหรือไม่
........
ม่นานนักก็มีเสียงนกร้องคล้ายกับบอกว่าถึงเวลากลับรังของมัน เป็นข้าพเจ้าที่มีรอยยิ้มอยู่บนหน้า ข้าพเจ้าคิดได้แล้ว อย่างไรก็แล้วแต่ ท้องฟ้าย่อมเป็นสีฟ้า ทหารที่ยืนอยู่หน้าป้อมปราการย่อมใส่ชุดสีเขียวเช่นกัน
----------------------