Wednesday, January 28, 2009

คุณค่า

ผมคิดอยู่เสมอว่าค่าของทุกอย่างบนโลกไม่เท่ากัน เงินหนึ่งร้อยบาทของคุณกับเงินหนึ่งร้อยบาทของคนอื่นมีค่าไม่เท่ากัน หนึ่งร้อยบาทสำหรับคนๆหนึ่งอาจเป็นแค่เพียงใช้เป็นทิปกับคนรับรถ แต่หนึ่งร้อยบาทของคนอื่นอาจเท่ากับข้าวสามมื้อหรืออะไรที่มากกว่านั้น ใครหลายคนอาจบอกว่าในทางคณิตศาสตร์นั้นเป็นเรื่องจริงถ่องแท้ แต่ในนั้นก็ยังมีความขัดแย้งซึ่งกันและกันอยู่เช่นกัน ดั่งตัวอย่างในการหาค่าสัมประสิทธิเชิงเปรียบเทียบในบทหนึ่งของสถิติ(เช่นในประเทศเอ นายก.มีรายได้วันละ10005บาท ส่วนนายข.มีรายได้วันละ10000บาท ส่วนต่างความต่างคือห้าบาท ส่วนในประเทศบี นายค.มีรายได้วันละ15บาท และนายง.มีรายได้20บาท ส่วนต่างก็ต่างกันเพียงห้าบาท ดั่งกล่าวจะเห็นได้ว่าทั้งสองประเทศมีพิสัยของรายได้ต่อวันต่างกันห้าบาทเท่ากัน แต่ความต่างของประเทศบีนั้นแสดงความต่างมากกว่าประเทศเอเยอะนัก..เช่นนั้นจึงต้องการมีการหาสปส.ของพิสัยมาช่วยแยกแยะข้อมูลพื้นฐานอีกขั้นหนึ่ง) ไม่ใช่เพียงแค่เงิน ต้นไม้ต้นหนึ่งสำหรับนกตัวหนึ่ง กับสำหรับคนๆหนึ่งนั่นก็อาจหมายความได้ว่ามันแสดงชัดถึงความสำคัญของแต่ละคนไม่เท่ากัน ความรู้สึกของวัตถุหรือสิ่งที่อยู่บนโลกนั่นอาจเป็นเรื่องยากของการวัดค่าที่แท้จริงที่เป็นมาตรฐาน

*

*

เวลา...ตัววัดดรรชนีหนึ่งในทางคณิตศาสตร์ที่ผู้คนชอบเอามาเปรียบเทียบ ดั่งคำบางคำที่หลายคนอาจเคยได้ยินผ่านหูผ่านตามาบ้างแล้ว คำเชยๆที่ว่า เวลาของทุกคนบนโลกเท่ากัน(ซึ่งแท้จริงแล้วมีบุรุษนามหนึ่งที่กล่าวอะไรแล้วเราต้องฟังเคยพิสูจน์มาแล้ว เวลาในชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน(เรื่องนี้พิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ได้จากความสูงในแต่ในระดับที่เราได้อยู่) คนที่กล่าวคือ ไอสไตน์)...แต่เราใช้มันในการดำเนินชีวิตต่างกัน แท้จริงแล้วมันไกลไปกว่านั้น ผมคิดเอาเองว่าจุดมุ่งหมายของการมีชีวิตอยู่ของคนนั้นต่างหากที่เป็นเครื่องกำหนดชี้ชัดคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ คนบางคนอาจชอบอยู่แบบเรื่อยเปื่อย สองชั่วโมงในการฟังเพลง สามชั่วโมงในการนอนหลับกลางวัน และหนึ่งชั่วโมงสำหรับการอ่านหนังสือพิมพ์หรือนั่งพริ้มกลางทุ่งนา แต่คนบางคนกลับเอาเวลาที่ว่าไปทำอย่างอื่น คร่ำเคร่งกับงานเอกสาร ฟาดฟันสารพัดวางแผนการเติบโตในหน้าที่ในงาน หรืออาจกล่าวรวบได้ชัดคือใช้เวลาที่มีไปแลกกับตัวเลขบนบัญชีในธนาคาร เช่นนั้นเพราะว่าจุดมุ่งหมายของคนเราต่างกัน หากแม้นเราเอาตัวเลขของเงินออมที่อยู่เป็นที่ตั้งดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตแบบแรกดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งสาระ แต่เช่นกันหากแม้นเราเอาชีวิตแบบแรกเป็นตัวชี้ชัด..เช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตแบบที่สองเป็นเรื่องที่จริงจังเกินกว่าจะถือเป็นเรื่องมากเกินจำเป็น

*

*

แต่อย่างไรก็ตาม..เราคงมีชีวิตหากยังไม่สิ้นลมหายใจ

*

*

บางคนอาจลืมไปว่าเรายังมีชีวิตอยู่ได้หากแม้นเรามีรายได้น้อย มีไม่มากที่ผู้คนบนโลกอดตายเพราะไม่มีจะกิน เพราะโลกไม่ได้ออกแบบมาว่าให้คนที่ไม่นิยมเงินทองต้องตายหากไม่กระสือกกระสน บางทีความสบายนั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเดินออกนนอกเส้นทางที่ควรจะเป็น ความสบายทำให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ในสายตาเบี่ยงเบนไป จากสิ่งหนึ่งกลายเป็นอื่น เช่นนั้นเพราะในสังคมยุคนี้มักเอาความสบายของคนอื่นมาเป็นมาตรวัดในการประสบผลสำเร็จในชีวิต เช่นนั้นคนเราจึงแสวงหาความสบายอย่างที่เราคาดฝัน นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่าไม่สิ้นสุด...เพราะสิ่งนั้นอาจเป็นสิ่งที่อยู่ในคำจำกัดความของคำว่ากิเลสได้ เมื่อใครก็ตามมีกิเลส เมื่อนั้นคำว่าพอก็จะไม่ปรากฏในของชีวิตของคนผู้นั้น

*

*

การตั้งเป้าหมายต่ำในการมีชีวิตไม่ใช่ดีแค่ทำให้เราผิดหวังน้อยเมื่อยามพลาด หรืออาจสมหวังง่ายต่อการคาดหวัง สิ่งที่ดีที่สุดของมันอาจเป็นเพียงการที่เราเข้าใกล้ถึงคำว่าพอใจ...คำที่อาจเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขไปสู่ประตูของความสุขในใจคน

*

*

.....................................

1 comment:

Anonymous said...

ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูล