Tuesday, February 24, 2009
Sunday, February 22, 2009
อุ่นใจ
แม้ในตอนนี้ฉันจะปั่นป่วนขนาดไหนจากสถานการณ์ที่ได้เจออยู่ แต่ดูเหมือนเธอก็เข้าใจตลอดในสิ่งที่ฉันเป็น เธอไม่เคยต่อว่าในสิ่งที่ฉันทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ตรงกันข้าม เธอยังปลอบและหาทางช่วยเหลือฉันอย่างสุดกำลังไม่ว่าฉันจะเป็นคนโงเง่าขนาดไหน เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่เดียวดายบนโลก เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าชีวิตของฉันที่ไร้ซึ่งค่ากลับมีค่ามากมายมหาศาล เธอทำให้ฉันค่อยคิดค่อยหาทางลุกขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ล้มลงไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอทำให้ฉันไม่สามารถหยามตัวเองได้อย่างถนัดถนี่ เธอทำให้ฉันรู้ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ฉันยังเป็นคนดีของเธอเสมอ...แม้ในคราที่ไม่มีใครเห็นแบบที่เธอเห็นก็ตามที
ความผิดพลาด
ผมไม่สามารถรู้ไดเลยว่าทำไมสิ่งที่ผมทำผิดพลาดมันถึงมีค่ามากมายมหาศาล ทำไมมันถึงส่งผลร้ายแบบเป็นรูปธรรมให้ผมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทำไม และทำไม ทำไมการผิดพลาดของผมจึงเกิดขึ้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมมันถึงมาในรูปแบบที่แปรเปลี่ยนหน้าไม่ซ้ำแบบ เหมือนมันคอยจ้องเล่นงานผมอยู่ในทุกขณะหรือทุกนาทีที่มีโอกาส ทำไมมันไม่ปล่อยให้สิ่งต่างๆที่ผมพลั้งไปบ้างกลายเป็นสิ่งที่ไม่เกินความธรรมดาที่จะสามารถรับได้ เรื่องง่ายๆอย่างที่ผมทำพลาดทำไมถึงกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มหาศาลเสมอ
มันทำให้ผมเจ็บปวด
ไม่มีใครเข้าใจในเรื่องการผิดพลาดเท่ากับที่ตัวเราเข้าใจ เพราะในบางครั้งเราก็ไม่อยากให้อภัยในสิ่งที่ตัวเราทำพลาดไปทั้งแบบงี่เง่าและพลั้งเผลอได้ ข้อสำนึกที่ผมจดจำมันได้อย่างขึ้นใจ
ความผิดพลาดแท้จริงแล้วอาจจไม่เคยหายไปไหนเลย เพียงมันจะออกมาก็ต่อเมื่อเราไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เรากระทำ แม้เพียงเรื่องเล็กๆที่เราทำผิดมันก็สามารถขยายความให้เรามองเห็นภาพอย่างชัดเจนได้ นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ตลอดเวลาในชีวิตของผม
เรื่องที่เราสำนึกและยอมรับตลอด แต่ดูเหมือนมันจะสั่งสอนเราอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มันทำให้ผมเจ็บปวด
ไม่มีใครเข้าใจในเรื่องการผิดพลาดเท่ากับที่ตัวเราเข้าใจ เพราะในบางครั้งเราก็ไม่อยากให้อภัยในสิ่งที่ตัวเราทำพลาดไปทั้งแบบงี่เง่าและพลั้งเผลอได้ ข้อสำนึกที่ผมจดจำมันได้อย่างขึ้นใจ
ความผิดพลาดแท้จริงแล้วอาจจไม่เคยหายไปไหนเลย เพียงมันจะออกมาก็ต่อเมื่อเราไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เรากระทำ แม้เพียงเรื่องเล็กๆที่เราทำผิดมันก็สามารถขยายความให้เรามองเห็นภาพอย่างชัดเจนได้ นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ตลอดเวลาในชีวิตของผม
เรื่องที่เราสำนึกและยอมรับตลอด แต่ดูเหมือนมันจะสั่งสอนเราอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
Tuesday, February 10, 2009
สูญสิ้นในตัวเอง
เมื่อใดก็ตามที่คุณสูญสิ้นในตัวเองเมื่อนั้นคุณจะรู้สึกทุกอย่างมันล่องลอย เวิ้งว้าง โลกที่คุณเคยรู้จักคล้ายทำให้คูณเหมือนคนแปลกหน้า คุณเป็นคนแปลกหน้าที่จุดๆนั้น คุณจะรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจคุณเหมือนอย่างที่คุณอยากให้เข้าใจ แต่สุดท้ายคุณก็จะเข้าใจได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งสิ้นมันก็ควรเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่ว่าคนรักคุณ ไม่ว่าเพื่อนสนิท ไม่ว่าบิดามารดา บางครั้งทุกคนก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวสำหรับคุณ
ผมชิงชังความรู้สึกนี้แต่ผมก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เมื่อคราวที่ผมทนทุกข์ใจผมแยกไม่ออกว่าอะไรดีอะไรเลว ผมไม่รู้ว่าคนที่พร่ำสอนผมให้รู้จักอดทนหรือรู้สึกสู้ชีวิตเคยเป็นอย่างผมหรือไม่ เค้าเคยโดนเพื่อนสนิทแทงข้างหลังหรือเปล่า เค้าเคยโดนคนรักสวมเขาให้เค้าในคราที่เขาเดินออกจากบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นเพื่อไปหาความสุขมาให้เธอ เขารู้หรือเปล่าว่าไม่มีคืออะไร ไม่มีคือไม่มีสักบาท ไม่ใช่มีอยู่น้อยนิดแล้วบอกไม่มี...เขาเข้าใจคำว่าไม่มีหรือไม่ อดทนล่ะ..เขาเหล่านั้นรู้หรือเปล่าอดทนที่แท้จริงมันคืออะไร การรอให้เจ้านายกินข้าวอิ้มก่อนแล้วเราค่อยอิ่มงั้นหรือ เขาเคยรู้หรือเปล่าว่าความอดทนนั้นมันหนักหนาสาหัสเพียงไร พวกเขาเหล่านั้นรู้หรือเปล่าว่าเมื่อสูญสิ้นทุกอย่างเป็นอย่างไร เมื่อไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีมิตสหาย ไม่มีคนรัก ไม่มีเงิน และคุณไม่สามรถอยู่กับที่ได้ เปรียบเสมือนคนที่ถูกตามล่า ระหว่างทางคุณทำเช่นไร คุณคงคิดอยากจะกลับบ้าน และคุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคนที่เป็นคนในครอบครัวของคุณปิดประตูใส่หน้าคุณในขณะที่คุณต้องการความช่วยเหลือในขณะนั้น
กรรม..
เมื่อคุณอยู่กับการชดใช้นานจนเกินไป คุณจะรู้สึกได้ว่าจริงๆแล้วโลกเราไม่มีพระเจ้าหรอก ไม่มีอะไรใดใดทั้งนั้น หลายคนที่คุณมองเห็นเค้ายังอยู่ดีทั้งที่คุณก็รู้ว่าเขาไม่ได้ทำดี เมื่อถึงจุดนั้นคุณก็จะรู้ว่ากรรมมันเป็นข้ออ้างเพื่อปลอบใจในเวลาที่คุณท้อแท้หรือเวลาที่ใครบางคนพลั้งพลาด มันเป็นแค่ข้อสมอ้างที่สมมติขึ้นทั้งนั้น
ความสูญสิ้นทำให้คุณครวญคิด...คุณจะต่อสู้กับมันหรือคุณจะยอมแพ้
บางครั้งเมื่อเวลามาถึงคุณต้องตัดสินใจ จะอยู่หรือจะไป
ผมจะสู้ต่อผลกรรมในบาปในภายภาคหน้าที่ผมจะลงมือกระทำ หากแม้นผลตอบสนองในกรรมมีจริง ผมก็จะไม่ปริปากบ่น โดยเฉพาะคำว่าความตาย..เช่นนั้นเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมถวิลหาตั้งแต่ครั้งแรกอยู่แล้ว
........................
ผมชิงชังความรู้สึกนี้แต่ผมก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เมื่อคราวที่ผมทนทุกข์ใจผมแยกไม่ออกว่าอะไรดีอะไรเลว ผมไม่รู้ว่าคนที่พร่ำสอนผมให้รู้จักอดทนหรือรู้สึกสู้ชีวิตเคยเป็นอย่างผมหรือไม่ เค้าเคยโดนเพื่อนสนิทแทงข้างหลังหรือเปล่า เค้าเคยโดนคนรักสวมเขาให้เค้าในคราที่เขาเดินออกจากบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นเพื่อไปหาความสุขมาให้เธอ เขารู้หรือเปล่าว่าไม่มีคืออะไร ไม่มีคือไม่มีสักบาท ไม่ใช่มีอยู่น้อยนิดแล้วบอกไม่มี...เขาเข้าใจคำว่าไม่มีหรือไม่ อดทนล่ะ..เขาเหล่านั้นรู้หรือเปล่าอดทนที่แท้จริงมันคืออะไร การรอให้เจ้านายกินข้าวอิ้มก่อนแล้วเราค่อยอิ่มงั้นหรือ เขาเคยรู้หรือเปล่าว่าความอดทนนั้นมันหนักหนาสาหัสเพียงไร พวกเขาเหล่านั้นรู้หรือเปล่าว่าเมื่อสูญสิ้นทุกอย่างเป็นอย่างไร เมื่อไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีมิตสหาย ไม่มีคนรัก ไม่มีเงิน และคุณไม่สามรถอยู่กับที่ได้ เปรียบเสมือนคนที่ถูกตามล่า ระหว่างทางคุณทำเช่นไร คุณคงคิดอยากจะกลับบ้าน และคุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคนที่เป็นคนในครอบครัวของคุณปิดประตูใส่หน้าคุณในขณะที่คุณต้องการความช่วยเหลือในขณะนั้น
กรรม..
เมื่อคุณอยู่กับการชดใช้นานจนเกินไป คุณจะรู้สึกได้ว่าจริงๆแล้วโลกเราไม่มีพระเจ้าหรอก ไม่มีอะไรใดใดทั้งนั้น หลายคนที่คุณมองเห็นเค้ายังอยู่ดีทั้งที่คุณก็รู้ว่าเขาไม่ได้ทำดี เมื่อถึงจุดนั้นคุณก็จะรู้ว่ากรรมมันเป็นข้ออ้างเพื่อปลอบใจในเวลาที่คุณท้อแท้หรือเวลาที่ใครบางคนพลั้งพลาด มันเป็นแค่ข้อสมอ้างที่สมมติขึ้นทั้งนั้น
ความสูญสิ้นทำให้คุณครวญคิด...คุณจะต่อสู้กับมันหรือคุณจะยอมแพ้
บางครั้งเมื่อเวลามาถึงคุณต้องตัดสินใจ จะอยู่หรือจะไป
ผมจะสู้ต่อผลกรรมในบาปในภายภาคหน้าที่ผมจะลงมือกระทำ หากแม้นผลตอบสนองในกรรมมีจริง ผมก็จะไม่ปริปากบ่น โดยเฉพาะคำว่าความตาย..เช่นนั้นเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมถวิลหาตั้งแต่ครั้งแรกอยู่แล้ว
........................
Sunday, February 08, 2009
ยามเศร้า..
ยามเศร้า...
เรื่องราวที่เคยตลกขบขันก็มาทำให้ร้องไห้เสีย
เสียงเพลงที่เคยราบเรียบไร้มิติ กลับมีประตูเปิดให้เราเข้าไปเดินดูภายในตัวมัน ทุกสิ่งทุกอย่างพลันออกจากความราบเรียบ ทุกอย่างคล้ายเหมือนเป็นเรื่องของเราเองแทบทุกสิ่ง
งานที่เคยทำได้ง่ายๆก็กลับทำยากแสนยาก เรื่องง่ายแค่การลุกขึ้นจากเตียงนอนบางครั้งยังแสนลำบาก
เราจะร้ซึ้งคุณค่าของพื้นที่ทุกตารางนิ้วบนห้องนอน และเราจอขอบคุณมันโดยการไม่ออกเสียง
เราจะมองเห็นความทุกข์ของคนอื่น..และมองเห็นความดีของใครรบางคน
เสาไฟ้ฟ้าหน้าปากซอยที่ติดบ้างดับบ้าง..ช่างน่าสงสารยามมันอยู่เพียงลำพัง
เรื่องผีที่บ้านร้างดูเหมือนกลายเป็นเรื่องเหลวไหลในที่สุด
ความเศร้าทำให้ปราศจากความกลัว...และนั่นฉันเห็นว่ามันเป็นเรื่องดี
เรื่องราวที่เคยตลกขบขันก็มาทำให้ร้องไห้เสีย
เสียงเพลงที่เคยราบเรียบไร้มิติ กลับมีประตูเปิดให้เราเข้าไปเดินดูภายในตัวมัน ทุกสิ่งทุกอย่างพลันออกจากความราบเรียบ ทุกอย่างคล้ายเหมือนเป็นเรื่องของเราเองแทบทุกสิ่ง
งานที่เคยทำได้ง่ายๆก็กลับทำยากแสนยาก เรื่องง่ายแค่การลุกขึ้นจากเตียงนอนบางครั้งยังแสนลำบาก
เราจะร้ซึ้งคุณค่าของพื้นที่ทุกตารางนิ้วบนห้องนอน และเราจอขอบคุณมันโดยการไม่ออกเสียง
เราจะมองเห็นความทุกข์ของคนอื่น..และมองเห็นความดีของใครรบางคน
เสาไฟ้ฟ้าหน้าปากซอยที่ติดบ้างดับบ้าง..ช่างน่าสงสารยามมันอยู่เพียงลำพัง
เรื่องผีที่บ้านร้างดูเหมือนกลายเป็นเรื่องเหลวไหลในที่สุด
ความเศร้าทำให้ปราศจากความกลัว...และนั่นฉันเห็นว่ามันเป็นเรื่องดี
เวลา
ยังไม่มีใครทราบได้ว่าช่วงเวลาที่เหลือของแต่ละคนนั้นจะยืนยาวอีกสักเท่าไหร่ นับสิบนับร้อยปี หรือน้อยจนเกินที่จะคาดคิด เรื่องที่ไม่มีใครรู้
แต่เรื่องจริงมีอยู่ว่าเวลาทำให้เรามองเห็นบางอย่างชัดเจนกว่าเดิม เวลาที่ผ่านไปในชีวิตจะเป็นตัวกลั่นกรองให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนจากสิ่งที่เราจดจ้องมองอยู่ ซึ่งหลายต่อหลายครั้งเราจะรู้ได้ว่า...บางครั้งเราก็มองบางอย่างผิดพลาดไป มันอาจไม่ใช่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรามองเห็น เพียงแต่เราอยากจะเห็นมันในทางที่เราอยากจะเห็น
การมองเห็นทำให้เราเข้าใจถึงความจริงที่เป็นอยู่รอบข้าง และโดยใจความหลักนั้นมันก็คล้ายๆกัน เรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจหากแม้นเราอยากจะยังอยู่บนโลก หรือกระทั่งไม่อยากอยู่...ไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์ที่สุดแม้แต่ตัวเราเอง เราเองเพียงต้องทำความเข้าใจ และยืนอยู่คู่ไปกับมัน
เรื่องของเรื่องคือ...การอยู่ยาวนานไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรสำหรับฉัน
ครอบครัว คนรักเก่า เพื่อน ไม่มีแม้ใครที่ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าโลกนี้น่าอยู่ ตรงกันข้ามโลกใบนี้กลับน่าเบื่ออย่างที่สุด
ฉันเดินอยู่บนเส้นทางของเวลา ทำทุกอย่างเฉกเช่นเดิมเหมือนที่เคยทำ ดั่งเช่นการเคลื่อนที่ของรอบหน้าปัดนาฬิกา...เรื่องเดิมๆที่ฉันเผชิญอยู่ทุกวี่วัน
นานพอที่ทำให้ฉันรู้ว่า...ความรักมันก็มีค่าจริงนั่นแหละ เพียงแค่น้อยคนนัก ที่จะคู่ควรกับมัน
..................
แต่เรื่องจริงมีอยู่ว่าเวลาทำให้เรามองเห็นบางอย่างชัดเจนกว่าเดิม เวลาที่ผ่านไปในชีวิตจะเป็นตัวกลั่นกรองให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนจากสิ่งที่เราจดจ้องมองอยู่ ซึ่งหลายต่อหลายครั้งเราจะรู้ได้ว่า...บางครั้งเราก็มองบางอย่างผิดพลาดไป มันอาจไม่ใช่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรามองเห็น เพียงแต่เราอยากจะเห็นมันในทางที่เราอยากจะเห็น
การมองเห็นทำให้เราเข้าใจถึงความจริงที่เป็นอยู่รอบข้าง และโดยใจความหลักนั้นมันก็คล้ายๆกัน เรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจหากแม้นเราอยากจะยังอยู่บนโลก หรือกระทั่งไม่อยากอยู่...ไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์ที่สุดแม้แต่ตัวเราเอง เราเองเพียงต้องทำความเข้าใจ และยืนอยู่คู่ไปกับมัน
เรื่องของเรื่องคือ...การอยู่ยาวนานไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรสำหรับฉัน
ครอบครัว คนรักเก่า เพื่อน ไม่มีแม้ใครที่ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าโลกนี้น่าอยู่ ตรงกันข้ามโลกใบนี้กลับน่าเบื่ออย่างที่สุด
ฉันเดินอยู่บนเส้นทางของเวลา ทำทุกอย่างเฉกเช่นเดิมเหมือนที่เคยทำ ดั่งเช่นการเคลื่อนที่ของรอบหน้าปัดนาฬิกา...เรื่องเดิมๆที่ฉันเผชิญอยู่ทุกวี่วัน
นานพอที่ทำให้ฉันรู้ว่า...ความรักมันก็มีค่าจริงนั่นแหละ เพียงแค่น้อยคนนัก ที่จะคู่ควรกับมัน
..................
ความน่ารังเกียจ
เมื่อเวลาเดินมาถึงจุดนี้ทำเอาผมเศร้าใจ
เรื่องหลายเรื่องที่ผู้คนได้พบเจอผมช่างเป็นเรื่องเศร้าใจ
ผมสร้างเกราะให้กับตัวเองโดยการเป็นบุคคลที่พึงน่ารังเกียจ พวกเขาจะได้รับสิ่งนั้นไปจากผม...เขาจะได้รับสิ่งนั้น ความน่ารังเกียจที่ผมยัดเยียดให้กับพวกเขา ความรู้สึกที่พวกเขาจะมีต่อผม เช่นนั้นเพราะผมไม่ควรที่จะมีใครมาอยู่เคียง มันคงเป็นความลำบากชนิดหนึ่งที่ผมจะยัดเยียดให้คนเหล่านั้นหากแม้นเขานับผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง...เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงได้เห็นเรื่องน่ารังเกียจของผมที่มีต่อพวกเขามากมายเหลือเกิน
ความรัก...หากคุณเคยมีรักคุณคงรู้ว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน เช่นเดียวกับในครั้งที่คุณได้สูญเสียมันไป
เรื่องที่ผมไม่ปรารถนาได้รับพรข้อนั้นจากคนอื่น..เพราะผมรู้ดีว่าผมไม่ได้มีค่าพอที่จะสามารถรับสิ่งมีค่านั้นเอาไว้ได้
วันนี้ทุกอย่างเงียบเหงาเหมือนที่เคยเงียบเหงา
ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มีใครรัก
ตรงกับครั้งหนึ่งที่เพื่อนในอดีตคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "สักวันมึงจะต้องอยู่คนเดียว"
.................
เรื่องหลายเรื่องที่ผู้คนได้พบเจอผมช่างเป็นเรื่องเศร้าใจ
ผมสร้างเกราะให้กับตัวเองโดยการเป็นบุคคลที่พึงน่ารังเกียจ พวกเขาจะได้รับสิ่งนั้นไปจากผม...เขาจะได้รับสิ่งนั้น ความน่ารังเกียจที่ผมยัดเยียดให้กับพวกเขา ความรู้สึกที่พวกเขาจะมีต่อผม เช่นนั้นเพราะผมไม่ควรที่จะมีใครมาอยู่เคียง มันคงเป็นความลำบากชนิดหนึ่งที่ผมจะยัดเยียดให้คนเหล่านั้นหากแม้นเขานับผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง...เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงได้เห็นเรื่องน่ารังเกียจของผมที่มีต่อพวกเขามากมายเหลือเกิน
ความรัก...หากคุณเคยมีรักคุณคงรู้ว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน เช่นเดียวกับในครั้งที่คุณได้สูญเสียมันไป
เรื่องที่ผมไม่ปรารถนาได้รับพรข้อนั้นจากคนอื่น..เพราะผมรู้ดีว่าผมไม่ได้มีค่าพอที่จะสามารถรับสิ่งมีค่านั้นเอาไว้ได้
วันนี้ทุกอย่างเงียบเหงาเหมือนที่เคยเงียบเหงา
ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มีใครรัก
ตรงกับครั้งหนึ่งที่เพื่อนในอดีตคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "สักวันมึงจะต้องอยู่คนเดียว"
.................
Thursday, February 05, 2009
น้ำตาของเธอ
นอนซมเพราะพิษไข้หลังจากปากดีได้ไม่นานว่า..น้อยครั้งที่จะป่วยจนต้องพึ่งมือหมอ อาการป่วยเข้าท่ากว่าที่คิด เช่นนั้นเพราะเวลาเราป่วยความซึมเศร้าคล้ายแห้งเหือดไปจากตัวจนหมดสิ้น ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเหมือนภาพที่เดินไปอย่างช้าๆ แม้นไม่มีเสียงประกอบของภาพที่เคลื่อนไหว แต่ก็รู้สึกได้ว่า..ความชัดเจนบางอย่างในภาพสื่อความรู้สึก และความหมายของมันได้หมดสิ้น
เธอโทรมาพร้อมเรื่องเดิมๆ..เรื่องที่น่าจะจบไปแล้วตั้งแต่หลายเดือนก่อน เรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน
เดินออกไปกลางดึก ด้วยถ้อยคำเพียงบางคำ...คำที่เคยสัญญาด้วยกันว่า เราจะไม่ทิ้งกันไปไม่ว่าใครคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร
นั่งมองเธอปาดน้ำตาเล่าเรื่องของเธอแบบช้าๆ เรื่องราวที่เป็นความเจ็บปวดของเธอ นั่งมองเธอเพ้อถึงคนที่เธอรัก พยายามช่วยคิดวิธีที่ทำให้เธอพ้นความเศร้าโศก อาจเป็นเพราะว่า...ฉันเป็นคนแพ้น้ำตา
บุหรี่ตัวแล้วตัวเล่าล่องลอยอยู่ในห้องๆหนึ่ง ความเงียบปรากฏตัวชัดเจนจนรู้สึกได้ ความวังเวง ความเศร้า มันล่องลอยวนเวียนลอยอยู่ในนั้น แสงไฟสีเหลืองอ่อนแบบที่เคยชอบฉุดบรรยากาศให้จมลึก ในวินาทีหนึ่งจึงกลั้นไปบอกเธอไปว่า...ฉันขอเบอร์โทรศัพท์คนรักของเธอ
กลางดึก...
ฉันเดินอยู่เดี่ยวข้างถนน แสงไฟในยามดึกที่ฉันชื่นชอบพาดตัวของฉันเป็นเงาออกเป็นทางยาว ฉันยังคงสูบบุหรี่
ฉันคิดถึงภาพบางภาพและคำบางคำที่ชัดขึ้น ฉันชอบเวลาที่เห็นเธอจริงจังเมื่อเธอกล่าวถึงคนรักของเธอ ฉันชอบเพราะฉันเห็นเธอมีรัก เพราะฉันเคยมีรัก เรื่องที่ฉันคิดว่ามันสำคัญหากแม้นเธอได้เกิดขึ้นเป็นมนุษย์ ไม่สำคัญว่ามันจะดีหรือไม่ดีตามใจปรารถนา เช่นนั้นเพราะว่า หากเธอได้รักใครสักคน...เธอจะรู้ว่าการที่เรามองเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง นับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ได้ประการหนึ่ง
ครั้งหนึ่งฉันเคยเดินบนถนนเส้นนี้ ผ่านร้านเก่าๆที่ฉันเคยนั่ง ในคืนเงียบดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนที่มีความหลังไปกับที่ทุกหนทุกแห่ง ฉันนึกถึงเรื่องราวที่ย้อนกลับในอดีต เรื่องที่ไม่เคยเข้าใจก็กลับเป็นเข้าใจในช่วงเวลาเปล่าดาย ช่วงเวลาที่ฉันซมด้วยพิษไข้
เราจะไม่ทิ้งกัน...
ไม่สำคัญว่าเธอจะจดจำมันได้หรือไม่ ไม่สำคัญว่าเธอจะต้องการมันอีกหรือเปล่าในภายภาคหน้า ค่ำคืนที่แสนเงียบเหงา คืนที่ทำให้ฉันได้ระลึกถึงค่าของคำที่ฉันเอ่ยไว้ และพยายามรักษามันจนสุดกำลังเท่าที่ฉันมี
เพียงอยากให้เธอจดจำรายละเอียดเพิ่มในคำสัญญา ไม่สำคัญว่าฉันจะอยู่ที่ไหนในยามเธอเศร้าใจ...ขอเพียงแค่เธอบอก ฉันจะไปหาเธอ
...................
เธอโทรมาพร้อมเรื่องเดิมๆ..เรื่องที่น่าจะจบไปแล้วตั้งแต่หลายเดือนก่อน เรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน
เดินออกไปกลางดึก ด้วยถ้อยคำเพียงบางคำ...คำที่เคยสัญญาด้วยกันว่า เราจะไม่ทิ้งกันไปไม่ว่าใครคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร
นั่งมองเธอปาดน้ำตาเล่าเรื่องของเธอแบบช้าๆ เรื่องราวที่เป็นความเจ็บปวดของเธอ นั่งมองเธอเพ้อถึงคนที่เธอรัก พยายามช่วยคิดวิธีที่ทำให้เธอพ้นความเศร้าโศก อาจเป็นเพราะว่า...ฉันเป็นคนแพ้น้ำตา
บุหรี่ตัวแล้วตัวเล่าล่องลอยอยู่ในห้องๆหนึ่ง ความเงียบปรากฏตัวชัดเจนจนรู้สึกได้ ความวังเวง ความเศร้า มันล่องลอยวนเวียนลอยอยู่ในนั้น แสงไฟสีเหลืองอ่อนแบบที่เคยชอบฉุดบรรยากาศให้จมลึก ในวินาทีหนึ่งจึงกลั้นไปบอกเธอไปว่า...ฉันขอเบอร์โทรศัพท์คนรักของเธอ
กลางดึก...
ฉันเดินอยู่เดี่ยวข้างถนน แสงไฟในยามดึกที่ฉันชื่นชอบพาดตัวของฉันเป็นเงาออกเป็นทางยาว ฉันยังคงสูบบุหรี่
ฉันคิดถึงภาพบางภาพและคำบางคำที่ชัดขึ้น ฉันชอบเวลาที่เห็นเธอจริงจังเมื่อเธอกล่าวถึงคนรักของเธอ ฉันชอบเพราะฉันเห็นเธอมีรัก เพราะฉันเคยมีรัก เรื่องที่ฉันคิดว่ามันสำคัญหากแม้นเธอได้เกิดขึ้นเป็นมนุษย์ ไม่สำคัญว่ามันจะดีหรือไม่ดีตามใจปรารถนา เช่นนั้นเพราะว่า หากเธอได้รักใครสักคน...เธอจะรู้ว่าการที่เรามองเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง นับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ได้ประการหนึ่ง
ครั้งหนึ่งฉันเคยเดินบนถนนเส้นนี้ ผ่านร้านเก่าๆที่ฉันเคยนั่ง ในคืนเงียบดูเหมือนว่าฉันจะเป็นคนที่มีความหลังไปกับที่ทุกหนทุกแห่ง ฉันนึกถึงเรื่องราวที่ย้อนกลับในอดีต เรื่องที่ไม่เคยเข้าใจก็กลับเป็นเข้าใจในช่วงเวลาเปล่าดาย ช่วงเวลาที่ฉันซมด้วยพิษไข้
เราจะไม่ทิ้งกัน...
ไม่สำคัญว่าเธอจะจดจำมันได้หรือไม่ ไม่สำคัญว่าเธอจะต้องการมันอีกหรือเปล่าในภายภาคหน้า ค่ำคืนที่แสนเงียบเหงา คืนที่ทำให้ฉันได้ระลึกถึงค่าของคำที่ฉันเอ่ยไว้ และพยายามรักษามันจนสุดกำลังเท่าที่ฉันมี
เพียงอยากให้เธอจดจำรายละเอียดเพิ่มในคำสัญญา ไม่สำคัญว่าฉันจะอยู่ที่ไหนในยามเธอเศร้าใจ...ขอเพียงแค่เธอบอก ฉันจะไปหาเธอ
...................
Monday, February 02, 2009
ยืนต้น
ต้นไม้ต้นหนึ่งออกดอกบานสวยงามอยู่หน้าบ้าน
กลิ่นของมันเสริมความงามของมันให้งามขึ้นไร้สิ้นสงสัย
มวลแมลงบินล้อมรอบชวนใจเคลิบเคลิ้ม
เพลงรักเคยแอบซ่อนบัดนี้ก่อเกิดขึ้นในอากาศ
เวลาผ่านก้าวสู่ฤดูแห้งหฤโหด
กาลพรากความงามจากต้นไม้ลาจากลับความงาม
ต้นยืนอยู่เดี่ยวท่ามกลางเงาเดิมที่เคยสวยสด
ภาพครั้งวันวานคล้ายบอกอดีตเป็นเพียงมายา
ในฐานะคนบ้านอยู่ริมรั้ว
มองเห็นถ้วนทั่วในต้นไม้ใหญ่
ฉันเป็นเพียงมนุษย์ไร้รากคนหนึ่ง
จึงรู้ดีว่าหากแม้นมันคงทนอยู่สู่วสันต์ ความงามจะหวนคืน
2
เปรียบได้ดั่งชีวิตคนคนหนึ่ง
เรื่องดีเรื่องร้ายมักจรมักจาก
ร้ายดี-ดีร้าย หากแม้นใจยังสู้
ยังยืนยันอยากอยู่วันหนึ่งทุกข์จักษ์ผ่านพ้น
Subscribe to:
Posts (Atom)